Tuesday, November 4, 2008

Talk of the Town คลิป ชาย หน้าเหมือน

กลายเป็น Talk of the Town ไปทั้งบ้านทั้งเมืองเพียงชั่วข้ามคืน สำหรับ “คลิปไม่คาวแต่ฉาวโฉ่” ของบุรุษผู้มีใบหน้าละม้ายคล้าย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศไทย ภายหลังจากที่ “ผู้จัดการออนไลน์-ผู้จัดการรายวัน” ได้ลงข่าวอุบัติการณ์ของคลิปดังกล่าวที่ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วทั้งสังคม

พร้อม กันนี้ ยังมีการโพสต์คลิปดังกล่าวไว้ในเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Youtube ทำให้ช่องทางการเข้าถึงคลิปฉาวนี้ถูก “ถ่าง” ให้กว้างขึ้น เหล่าไซเบอร์บอย-ไซเบอร์เกิร์ล ทั้งหลายเกือบทุกรายไม่มีที่จะไม่แวะไปเปิดดูเปิดชม ทำให้พูดได้เต็มปากว่า ณ เวลานี้มีน้อยคนนักที่ยังไม่ได้เห็นหรือยังไม่ทราบเรื่องราวในคลิปดังกล่าว



ถึงตรงนี้ นอกจากประเด็นร้อนนี้จะถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันด้วยความกังขาในความเหมือน จนแทบชวนให้คิดได้ว่า “ชาย” อาจจะมี “น้องชายฝาแฝด” แล้ว ก็น่าจะเชื่อได้ว่า ยังคงจะมีคนไทยอีกจำนวนไม่น้อย ที่อยากจะรับทราบข้อมูลสถานที่ที่ปรากฏอยู่ในคลิปดังกล่าว ว่าเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน และมีสภาพเป็นอย่างไร

ม่านรูดเวสตอิน ชั่วคราวราคาเท่าไหร่ ค้างคืนแพงไหม สภาพเป็นอย่างไร?
คานาแมนชั่น รังนอนของ “กิ๊ก” ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หรูหราแค่ไหน?
ร้านปักษ์ใต้ ตั้งอยู่แห่งหนใดบรรยากาศ น่าทานอาหารแค่ไหน เหมาะสมจะพากิ๊กมานั่งทานกลางวัน หยอกล้อกระหนุงกระหนิงหรือไม่?
ร้านเก็จแก้ว อาหารอร่อยหรือไม่ ราคาแพงหรือเปล่า อยู่ไกลจากกระทรวงยุติธรรมมากไหม?

รวมไปถึงคำถามในใจที่ว่า หากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เคยมีคนละแวกนั้นๆ เคยได้พบเห็นเหตุการณ์ในคลิปวิดีโอดังกล่าวหรือไม่ คำถามเหล่านี้นี่เอง จึงเป็นที่มาของการ “ตามรอยเส้นทางสวาท” ของ “ชาย” หน้าคล้าย นายกฯ รายนี้

สำหรับรูปแบบการบันทึกเรื่องราวภายในคลิปขนาดยาวดังกล่าวนี้ มีลักษณะเป็นการตามแอบถ่ายพฤติกรรมของผู้ที่เป็นเป้าหมายการติดตาม การบันทึกภาพเป็นไปในลักษณะการขับรถตามและบันทึกภาพเป็นวีดีโอ พร้อมกับมีเสียงผู้ที่ถูกจ้างวานให้ติดตามพฤติกรรมของ “เป้าหมาย” ชายผู้เป็น “พระเอกของท้องเรื่อง” บรรยายเป็นข้อมูลเป็นระยะ

คลิปชายหน้าเหมือนนี้ถือว่าเป็นคลิปที่ค่อนข้างยาว กินเวลาทั้งสิ้น 25.26 นาที ออกจะยาวกว่าคลิปหลุดอื่นๆ ที่เคยปรากฏ อาจจะด้วยเพราะเป็นการบันทึกแอบถ่ายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 22 ถึงวันที่ 28 มีนาคม 2549 เป็นเหตุการณ์ที่มีตัวละครชายเพียงคนเดียว คือ บุรุษลึกลับที่หน้าเหมือนนายสมชาย แต่มีตัวละครหญิงให้เห็นจะจะถึง 3 ราย ส่วนอีกรายที่อยู่ในรถขณะขับเข้าม่านรูดนั้น ไม่ปรากฏชัดว่าเป็น 1 ใน 3 นั้น หรือจะเป็นตัวละครตัวใหม่

280 บาท กับคูหาสวรรค์ ของ “ชาย”
แต่ที่แน่ๆ คือ โรงแรมม่านรูด “เวสตอิน” ที่ ปรากฏอยู่ในคลิปนั้น เป็นม่านรูดในย่านถนนรัตนาธิเบศร์ ซึ่งขณะนี้ก็ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ โดยตั้งอยู่เลขที่ 222/1-2 หมู่ 4 ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี

จากสภาพด้านนอกของโรงแรมมีลักษณะเก่า ตัวอาคารไม่ทาสี เมื่อขับเข้าไปจะพบว่ามีทางขึ้น และเมื่อขับขึ้นไปจะพบกับสภาพที่เหมือนกับม่านรูดทั่วไป คือมีซองจอดรถที่มีม่านกั้นเป็นสัดส่วน บางห้องจะมีป้ายพลาสติกติดอยู่เหนือทางเข้าจอดว่า “VCD” เป็นที่เข้าใจได้ว่า ในห้องนั้นๆ จะมีบริการเสริมเป็นวีซีดีลับเฉพาะให้แขกชมด้วย ในขณะที่ตัวห้อง ซึ่งจะกลายร่างเป็น “คูหาสวรรค์” ชั่วคราวของเหล่าคู่รักนั้น จะต้องขึ้นบันไดจากที่จอดรถไปประมาณ 10 ขั้น นัยว่าอาจจะเพิ่มความเป็นส่วนตัวแก่ลูกค้ามากขึ้น

ส่วนภายในห้องของ “เวสตอิน” ไม่ผิดไปจากการคาดคะเนนัก ขนาดค่อนข้างเล็ก กะด้วยสายตาคร่าวๆ น่าจะไม่เกิน 4 x 5 เมตรเป็นอย่างมาก (รวมพื้นที่ส่วนห้องน้ำแล้ว) เตียงเป็นเตียงขนาดควีนไซส์ ฟูกแข็งราวกับเบาะยูโด ลองเอนหลังดูแล้วก็นึกน่าเป็นห่วงสุขภาพ “บั้นเด้า” ของบรรดาผู้ที่เข้ามาปฏิบัติกาม เอ๊ย! ปฏิบัติการทั้งหลายว่าอาจจะเกิดเคล็ดครากกันได้ หมอนสีเก่าตุ่นถูกห่อไว้ภายในปลอกหมอนสีขาวเรียบๆ แข็งพอๆ กับเตียง เก้าอี้นวมเล็กๆ สองตัวถูกวางคั่นด้วยโต๊ะเบียร์ ที่วางเมนูอาหารเอาไว้บริการ ซึ่งอาหารก็ค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งชุดอาหารเช้า เสต็ก สลัด และอาหารไทยอื่นๆ แต่ราคาสูงพอสมควร เช่น ปูอัดจานละ 100 บาท แกงจืดถ้วยใหญ่ถ้วยละ 180 บาท เป็นต้น

ปลายเตียงมีโทรทัศน์พานาโซนิครุ่นเก่าขนาด 16 นิ้ว หนึ่งเครื่อง ส่วนที่แปะป้ายไว้หน้าห้องว่า “VCD” นั้นเมื่อเปิดดูแล้วพบว่า ช่องหนึ่งของโทรทัศน์ถูกตั้งให้เป็นช่องที่ฉายภาพการเต้นของสาวๆ “ไคโยตี้” ในชุดกระโปรงยีนส์สั้นๆ เส้นสายเดี่ยว หรือรัดรูป มีการซูมบั้นท้ายและหน้าอกเป็นระยะตามจังหวะเพลง เพื่อปลุกอารมณ์แขกผู้ใช้บริการ

ถัดไปเป็นกระจกแต่งตัว ที่ด้านหน้ามีตะกร้าผ้าเช็ดตัวเนื้อหยาบกับสบู่แบนๆ ไร้สีไร้กลิ่น (และคาดว่าจะไร้ฟองเมื่อฟอก) ไว้บริการเผื่อแขกต้องการจะชำระ “คราบไคล” ภายหลังเสร็จสิ้นศึกสวาท

สำหรับโทนสีของห้องนั้น เน้นสีขาวเรียบๆ เป็นหลัก ตัดคิ้วด้วยไม้สีน้ำตาล และในส่วนของห้องนอนถูกปูด้วยพรมแดงที่มีรอยบุหรี่เป็นหย่อมๆ ส่วนภายในห้องน้ำเป็นสีเทา สุขภัณฑ์ทุกชิ้น ทั้งอ่างอาบน้ำ โถชักโครก อ่างล้างหน้า ล้วนเป็นเซ็ตสีเดียวกัน จะโดดเด่นก็แต่เพียง “ขันน้ำพลาสติกสีชมพู” ที่ทำเอางงไปเหมือนกันว่ามีไว้ทำอะไรในห้องน้ำแบบฝักบัวเช่นนี้

ที่แย่และไร้สุขอนามัยอย่างสิ้นเชิง ก็คือ “ถังขยะ” ใบเดียวภายในห้อง มีสภาพเปล่าเปลือย ไร้ซึ่งถุงขยะมากรุรองไว้ มองแล้วไพล่นึกไปถึงภาพ “เสื้อกันฝนใช้แล้วเหนียวเหนอะ” ที่ถูกโยนแปะลงมาแบบไม่มีอะไรรองรับให้ถูกหลักอนามัย แล้วพลันทำให้ผู้เขียนปั่นป่วนในท้องสิ้นดี


จากปากคำบันทึกของหญิงสาวผู้สะกดรอยตามบุรุษหน้าคล้ายกล่าวไว้ขณะ ติดตามรถของ “เป้าหมาย” เข้าไปยังโรงแรมม่านรูดแห่งนี้ ระบุว่า “เป้าหมายรับหญิงสาวจากหมู่บ้านซื่อตรง” ทำให้มีการสำรวจบริเวณใกล้เคียงในรัศมีรอบๆ โรงแรมม่านรูดเวสตอิน พบว่า มีหมู่บ้านซื่อตรงที่อยู่ห่างจากโรงแรมราวๆ 7-8 กิโลเมตรอยู่ด้วย แต่ไม่แน่ชัดว่าเป็นแห่งเดียวกับที่ “คู่ขา” ของชายหน้าคล้ายอาศัยอยู่หรือเปล่า

เกือบลืมบอกไปว่า ราคาค่าใช้บริการของเวสตอินนั้น มีรายละเอียดดังนี้ คือ ชั่วคราว 3 ชั่วโมง 280 บาท ต่อชั่วโมง 90 บาทต่อชั่วโมง ค้างคืนเต็มวัน 570 บาท ค้างคืน (เข้าหลัง 21.00น.) 480 บาท ท่านทั้งหลายโปรดพิจารณาเอาเองเถิดว่า หากเป็นท่านมีฐานะขนาดขับบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์ 730iL จะตัดสินใจเลี้ยวรถเข้ามาใช้บริการ “ชั่วคราว” ของโรงแรมแห่งนี้หรือไม่?

“คานาแมนชั่น” รังนอน “กิ๊กของชาย”

กระจ่างกันไปสำหรับม่านรูดเวสตอินในคลิปดัง ทีนี้ลองกลับมาดูแถวฝั่งธนกันบ้าง ที่ซอยเพชรเกษม 7/2 อันปรากฏอยู่ในคลิป ที่มีหญิงสาวอายุราวยี่สิบต้นๆ หน้าตาดี ผิวสองสี รูปร่างสูงเพรียว สวมชุดสีขาว มายืนรอให้เก๋งคันงามมาจอดรับไปรับประทานอาหารกับหนุ่มใหญ่สวมแว่นกันกระหนุ งกระหนิง ก่อนจะแวะมาส่งที่ปากซอยนี้อีกครั้ง ซึ่งเธอก็ได้ยืนซื้อผลไม้หน้าซอยนี้ ส่งผลให้ “สายลับ” ผู้บันทึกภาพ มีโอกาสซูมใบหน้าสาวน้อยคนนี้ได้อย่างชัดเจน
ซึ่งหลังจากการตรวจสอบซอยดังกล่าวนั้น ปรากฏว่าเป็นซอยตื้นๆ ด้านหน้าสุดเป็นที่พักที่ชื่อว่า “คานาแมนชั่น” และลึกเข้าไปด้านในเป็นบ้านพักอาศัยเป็นกลุ่มๆ ส่วนสถานที่ให้เช่าที่พักประเภทหอพัก อพาร์ตเมนต์ แมนชั่น ภายในซอยนี้มีเจ้าเดียว คือ “คานาแมนชั่น” ที่อยู่ต้นซอยนั่นเอง ซึ่งก็สอดคล้องกับภาพในคลิปฉาว ที่มีการบันทึกเสียงว่าที่แห่งนี้คือที่พักของ “เป้าหมาย”

สำหรับคานาแมนชั่นนี้มีทั้งหมด 8 ชั้น อัตราค่าที่พักถือว่าไม่ถูกนัก ห้องราคาต่ำที่สุด เป็นห้องพัดลมที่มีขนาดแคบที่สุดคือ 20 ตารางเมตร ราคา 3,200 บาทต่อเดือน ซึ่งห้องขนาดเดียวกันแต่ติดเครื่องปรับอากาศ ราคาจะเพิ่มเป็น 3,600 บาท ห้องพัดลมที่กว้างขึ้นมาอีกนิด คือ 22-30 ตารางเมตร ราคาตั้งแต่ 3,200-3,800 บาท ในขณะที่ราคาห้องปรับอากาศขนาดความกว้าง 22-24 ตารางเมตร อยู่ที่ 4,000-4,700 บาท ส่วนห้องขนาดเดียวกัน แต่มีเครื่องปรับอากาศขนาด 30 ตารางเมตร ราคาจะพุ่งไปอยู่ที่ 5,000 บาท/เดือนเลยทีเดียว

โดยราคาเหล่านี้ หากเป็นที่พักในใจกลางเมืองก็ถือว่าย่อมเยา แต่คานาแมนชั่นถือว่าเป็นเขตรอบนอก คือ อยู่ฝั่งธนบุรี ดังนั้น ราคาดังกล่าวถือว่าไม่ถูกนัก แต่สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีในแมนชั่น ไม่ว่าจะเป็นร้านเสริมสวย มินิมาร์ท ตู้ซักผ้าหยอดเหรียญ หรือบริการซักอบรีด รวมไปถึงระบบการรักษาความปลอดภัยที่ค่อนข้างดีที่แม้จะไม่มีวงจรปิด แต่ก็มี รปภ.24 ชั่วโมง และขึ้นห้องพักแบบต้องใช้คีย์การ์ดผ่านประตู ก็ถือว่าคุ้มค่า แต่ก็เป็นปัจจัยที่เจ้าหน้าที่ของที่พักดังกล่าวให้ข้อมูลว่า

“ส่วนใหญ่ผู้เช่ามักจะเป็นคนวัยทำงานมากกว่าที่จะเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา หรือวัยรุ่น ที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตนเอง”

บุตร สาว 2 คน ของ สมชาย-เยาวภา เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามในบริษัทอินนิค คอร์ปอเรชั่น เจ้าของรถเบนซ์สปอร์ตสีแดง ทั้งนี้ “น้องเชอรี่” ชยาภา (คนกลางในกรอบสี่เหลี่ยม) ยังเคยออกเทปชุดแรกในชื่อ “เชอรี่ ซีเครต ซี” กับบริษัทดังกล่าวด้วย
“ปักษ์ใต้” กับรอยเงาของ “ชู้รัก”

ส่วนร้านอาหารปักษ์ใต้ที่หนุ่มใหญ่ใส่แว่นพาสาวน้อยชุดขาวไปกินนั้น อยู่ในซอยธนาคาร บนถนนราชพฤกษ์ ใกล้กับซอย ราชพฤกษ์ 11 แต่ปัจจุบันร้านอาหารดังกล่าวปิดตัวไปแล้ว และมีเนิร์สเซอรีรับดูแลเด็กและคนชรามาตั้งแทนที่ และระหว่างการแวะไปสำรวจนั้น ก็พบบรรดาลุงๆ ป้าๆ ในละแวกใกล้เคียงเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น เราไม่รีรอที่จะเข้าไปหา พร้อมเริ่มยิงคำถามใส่คุณป้าก่อน

“ป้าครับ ร้านปักษ์ใต้ย้ายไปแล้วเหรอครับ”
“ย้ายแล้วจ้ะ ทำไมล่ะ หนูเคยมากินเหรอ”
“ครับ แล้วย้ายไปนานหรือยังอ่ะครับ”
แค่คำถามที่สองเท่านั้น คุณสีหน้าคุณป้าก็เริ่มเปลี่ยนไป พร้อมถามกลับมาว่า
“ไม่นานหรอก แล้วตะกี้เห็นหนูไปวนรถอยู่ 2 รอบ แล้วใช่มั้ย”

จากบทสนทนาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า คงจะมีหลายคนมาถามไถ่ ถึงเรื่องร้านอาหารปักษ์ใต้ร้านนี้ที่ไปปรากฏอยู่ในคลิป ป้าแกถึงได้ระวังตัว แถมสังเกตคนแปลกหน้าที่ผ่านเข้าออกไปมาอยู่ตลอดเวลา แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีคุณลุงคนหนึ่ง ถามกลับมาว่า

“มาหาร้านอาหารปักษ์ใต้เรอะไอ้หนุ่ม”
“ครับคุณลุง ไม่ทราบย้ายไปไหนแล้วครับ”
“โอ๊ย ไม่อยู่แล้ว เข้าเปิดสองร้าน แต่ร้านนี้ไม่ค่อยมีคนดูแล เลยกลับไปขายร้านเดียวเหมือนเดิม ถ้าอยากเห็นเอ็งต้องไปดูในคลิปนั้นสิ ได้ดูรึยังล่ะน่ะ”
“แล้วคุณลุงเคยเห็นไหมครับ คนๆ นั้นน่ะ”
“เค๊ย เคยเห็นสิ ก็มากับผู้หญิงนั่นล่ะ ในคลิปน่ะ ... ตัวจริง ถ้าเอ็งมาเมื่อสองปีที่แล้ว อาจจะเจอก็ได้”

เบนซ์สปอร์ตสีแดง กับ ความลับของตัว C

แม้ว่าร้านปักษ์ใต้จะปิดตัวไปแล้ว ทว่า ร่องรอยของรถเบนซ์สปอร์ตสองประตู สีแดงเข้ม เลขทะเบียน ศฐ 1119 กรุงเทพมหานคร ที่ข้าราชการหนุ่มใหญ่ใช้แวะรับหญิงสาวชุดขาวที่หน้าปากซอยเพชรเกษม 7/2 เพื่อโดยสารกันมาร่วมรับประทานอาหาร ก็ยังสามารถที่จะบ่งชี้ได้ว่า บุคคลที่มาเป็นใคร

ข้อมูลจากผู้หวังดีที่ สืบค้นจากฐานข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ระบุข้อมูลเกี่ยวกับรถเบนซ์สปอร์ตสองประตู สีแดงเข้ม เลขทะเบียน ศฐ 1119 กรุงเทพมหานคร ไว้ดังนี้คือ เป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (ร.ย.01) ลักษณะเป็นเก๋งตอนเดียว สีแดง ยี่ห้อ BENZ เลขตัวรถ WDB2304742F085893 เลขเครื่องยนต์ 11399260030015 สำหรับผู้ที่ถือกรรมสิทธิ์และครอบครอง รถคันดังกล่าวคือ บริษัท อินนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ตั้งอยู่ที่ 99/385 หมู่ 2 ถนนแจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210 โดยจดทะเบียนเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2548 เริ่มครอบครองเมื่อวันที่ 29 ส.ค.2551 และสิ้นอายุภาษีในวันที่ 1 ก.พ.2552

ส่วนข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุข้อมูลของบริษัท อินนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ไว้ดังนี้ คือ กรรมการบริษัทมี 3 คน คือ นายชาคริต เฉลิมวัฒน์ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ และ น.ส.ชยาภา วงศ์สวัสดิ์ มีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาทถ้วน ตั้งอยู่ที่ 99/385 หมู่ 2 ถนนแจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจการคือ ผลผลิตจากเพลง บริการผลิตเพลง สื่อโทรทัศน์ วิทยุ โฆษณา เป็นต้น

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ายังบ่องชี้อีกว่า บริษัทอินนิค คอร์ปอเรชั่น เดิมทีจดทะเบียนครั้งแรกในชื่อบริษัท เอส.วาย.เทเลคอม จำกัด โดยต่อมาได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่ออีกหลายครั้ง คือ ครั้งที่ 2 เปลี่ยนเป็นบริษัท ที.โอเวอร์ซี จำกัด เมื่อวันที่ 12 พ.ย.2542 ครั้งที่ 3 เปลี่ยนเป็น บริษัท มิวสิคฟันนี่ (2002) จำกัด เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2543 ครั้งที่ 4 เปลี่ยนเป็นบริษัท สตรองพอยท์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2543 และ ครั้งสุดท้ายเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท อินนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อวันที่ 3 พ.ย.2547

สำหรับคนที่คลุกคลีกับวงการบันเทิง ชื่อ “อินนิค คอร์ปอเรชั่น” อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนัก ทว่าชื่อ “สตรองพอยต์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์” นั้น เชื่อแน่ว่า คงมีหลายคนเคยผ่านหูมาก่อน เพราะ อัลบั้มแรกของ “เชอรี่” ชยาภา วงศ์สวัสดิ์ ลูกสาวคนสุดท้อง สุดที่รักของครอบครัววงศ์สวัสดิ์ ที่ใช้ชื่อว่า “เชอรี่ ซีเครท ซี (Secret ‘C’)” ก็ ใช้ทุนของบริษัท สตรองพอยต์ เอนเตอร์เทนเมนต์แห่งนี้นี่เองเพื่อผลิตเทปกว่า 20,000 ม้วน ประเคนให้กับน้องเชอรี่ ตั้งแต่สมัยยังเธอยังเรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย ที่โรงเรียนสตรีวิทยา โดยอาศัยเส้นสายของครอบครัวในการตระเวนออกคอนเสิร์ตร่วมกับศิลปินจากค่ายแก รมมี่

“เก็จแก้ว” กับสาวรสแซบของ “ชาย”

ปิดท้ายทริปสวาทสะท้านเมืองด้วยร้านอาหารที่ “ชายหน้าเหมือน” พา “หญิงร่างท้วม” จากกระทรวงยุติธรรม ไปนั่งฟาดข้าวเที่ยงกันอย่างชื่นมื่นอย่างร้าน “เก็จแก้ว” ภายในเมืองทองธานี ข้างมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช

หะแรกเห็นในคลิปก็ดูเป็นร้านอาหารธรรมดา แต่เอาเข้าจริงถือว่าหรูหราไม่ใช่เล่น สามารถเรียกเต็มปากได้ว่า “ภัตตาคาร” ได้เลยทีเดียว ร้านกว้างขวาง ติดแอร์เย็นฉ่ำ มีห้องอาหารรวมและมีห้องแยกเพื่อจัดเลี้ยงโดยเฉพาะต่างหาก และในช่วงเที่ยงๆ แบบนี้ส่วนใหญ่ลูกค้าจะมากันเป็นกลุ่ม ลักษณะเหมือนเพื่อนร่วมงานมารับประทานอาหารร่วมกันไม่มีโต๊ะไหนที่มาเป็นคู่ ดูโอ้อย่างหนุ่มใหญ่และสาวใหญ่ในคลิป

อาหารที่ร้านเก็จแก้วเป็นอาหารไทย มีทั้งอาหารไทยภาคกลางทั่วไปและอาหารปักษ์ใต้ โดยเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ที่สื่อหลายแห่งจากสายข่าวประเภท “พาชิม” ได้เขียนถึงนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารจากแดนด้ามขวาน ไม่ว่าจะเป็น “สะตอผัดกุ้ง” (120 บาท) หรือ “แกงเหลืองปลากะพง” (180 บาท)

สำหรับรสชาติของจานเด็ดราคาขยี้ใจคนจนทั้งสองจานนี้ ต้องบอกว่า “หรอยจังฮู้” ของเขาดีจริง แต่สำหรับคนภาคกลางลิ้นบางๆ ต้องอุทานกันดังๆ หลังจากโซ้ยช้อนแรกว่า “เผ็ดอิ๊บอ๋าย” ดังนั้น ผู้ที่จะกินจานเด็ดของร้านนี้ได้ ต้องเป็นพวกชอบกินเผ็ด หรือไม่ก็บรรดา “ไอ้หนุ่มแดนสะตอ” ทั้งหลายนั่นละ จึงจะกินได้อร่อยลิ้น แต่กลเม็ดเคล็ดลับที่ว่าด้วยการ “เบียดบังเวลาราชการมากินแล้วต่อด้วยการชอปปิ้งตู้เย็น” จะทำให้การลิ้มรสชาติอาหารของร้านนี้ดีขึ้นหรือเปล่านั้น อันนี้ต้องไปถามคนในคลิปกันเอาเอง

สุดท้ายก่อนกลับ เราไม่ลืมที่จะถามคำถามที่เชื่อว่าพนักงานของร้านนี้ต้องโดนถามมาแล้วแน่นอน

“น้อง ดูคลิปนั้นรึยัง”
พนักงานคนนั้นพยักหน้า ก่อนตอบมาด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า “ดูแล้วค่ะ”
“แล้วใช่เขามั้ย มาบ่อยหรือเปล่าล่ะ”
“ใช่ค่ะ เมื่อก่อนมาบ่อย แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว แต่ส่วนใหญ่เขามากับลูกน้องเขานะคะ ไม่ได้มาอะไรแบบนั้น”
พนักงานคนดังกล่าวตอบ พร้อมกับเดินหน้าแหยๆ กลับไป ราวกับว่าถูกกำชับมาว่าไม่ให้พูดอะไรเกี่ยวกับคลิปนั้นมาก

ความเงียบงันของสังคมไทยต่อ “คลิปชายหน้าเหมือนนายกฯ” ไม่เพียงแต่เกิดกับพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารเก็จแก้วเท่านั้น นับตั้งแต่วันที่คลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านทางอินเทอร์เน็ตจนถึงวันนี้ก็ เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่ดูเหมือนว่า สื่อมวลชนไทย ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ รวมไปถึง ส.ว.หญิง คนดัง ที่เคย “ปากกล้า-ปากเก่ง” มาตลอด กลับนิ่งเงียบ และ ปฏิเสธที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงของ “คนหน้าเหมือนนายกฯ”

ในสังคมใด เมื่อสื่อเลือกที่จะนิ่งเงียบต่อความไม่ถูกต้อง คุณธรรม จริยธรรม และความยุติธรรมย่อมต้องหลีกเร้นจากสังคมนั้น!
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์


Saturday, November 1, 2008

แม้ว โฟนอิน อ้อนสาวก อ้างโดนยัดเยียดคุก 2 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการจัดงาน “ความจริงวันนี้ สัญจร” ที่สนามรัชมังคลากีฬาสถาน เมื่อช่วงเย็นวันที่ 1 พ.ย. ว่า ไฮไลต์ของงานอยู่ที่การโทรศัพท์เข้ามายังบริเวณงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างหนีโทษจำคุกในคดีที่ดินรัชดาอยู่ในต่างประเทศ โดยมีกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ที่รวมตัวกันในนามแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และชาวบ้านที่ถูกจัดตั้งมาจากจังหวัดต่างๆ รอฟังอยู่ภายในสนามกีฬา ซึ่งมีหลายหมื่นคนแต่ไม่เต็มความจุดของสนาม

ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะโทรศัพท์เข้ามานั้น มีการปราศรัยของอดีตลูกพรรคไทยรักไทยหลายคน อาทิ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณจากความผิดต่างๆ และกล่าวทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์

จนกระทั่งเวลาประมาณ 20.26 น. นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และผู้ดำเนินรายการ “ความจริงวันนี้” ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ได้ขึ้นมาเกริ่นนำไปสู่การ “โฟนอิน” ตามด้วยการฉายวีทีอาร์เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเนื้อหาเป็นการแก้ตัวให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวกับการกระทำผิดที่ผ่านมา โดยโยนผิดว่ามีกลุ่มคนคอยกล่าวหาให้ร้าย พ.ต.ท.ทักษิณที่เป็นนายกของประชาชน จนต้องตัดสินใจยุบสภา (เมื่อต้นปี 2549)เมื่อมีแนวโน้มว่าจะกลับมาเป็นนายกอีก ก็พยายามลอบสังหาร แต่เมื่อสังหารไม่สำเร็จ ก็ทำการยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 ทั้งที่คนไทยและทั่วโลกไม่ยอมรับ ทำให้เศรษฐกิจเสียหาย 2 ล้านล้านบาท อนาคตประเทศที่กำลังเดินหน้า ก็หยุดชะงัก ตามด้วยการยุบพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของการยึดอำนาจ เพราะ คมช.กลัวว่า ถ้าปล่อยให้ลงสนามอีก ก็จะยังชนะท่วมท้น จึงสั่งยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค 111 คน

เสียงบรรยายในวีทีอาร์ดังกล่าว อ้างว่า เมื่อเจตนารมณ์ของ คมช.ทำได้สำเร็จจึงตามด้วยตุลาการภิวัฒน์ นำไปสู่การดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยให้ คตส.ดำเนินการ เพื่อบรรลุตามธงที่ตั้งไว้ มีการตั้งข้อกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไม่เป็นธรรม ตามที่ คมช.และผู้สูญเสียประโยชน์ต้องการให้ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณให้ได้รับความมัวหมอง จนถูกตัดสินจำคุกในที่สุด นอกจากนี้ ยังอายัดทรัพย์สิน 7.6 หมื่นล้านบาท ที่หามาอย่างสุจริต ทั้งที่ก่อนเข้าสู่การเมือง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับโลกอยู่แล้ว ส่วนฐานะที่ร่ำรวยขึ้นหลังจากเป็นนายกฯ ก็มาจากมูลค่าหุ้นที่เพิ่มตามสภาพเศรษฐกิจ

นอกจากนั้น ยังอ้างว่า การที่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ต้องโทษหนัก จากการที่ คตส.ส่งฟ้องศาลอาญา ในคดีที่ นายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ คุณหญิงพจมาน และเลขาณุการ จงใจเลี่ยงภาษี จนถูกตัดสินจำคุก 3 ปี สั่งจองจำ พ.ต.ท.ทักษิณ 2 ปี ในคดีที่ดินรัชดา ชี้ชัดว่า พ.ต.ท.ทักษิณทักษิณตกเป็นเหยื่อทางการเมือง นับแต่นี้ เส้นทางชีวิตของ พ.ต.ท.ทักษิณคงดำเนินไปตามที่ฝ่ายต่อต้านต้องการแล้ว แต่เส้นทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณเดินมาและดำลังเดินไปได้สะสมชัยชนะไว้มากยิ่งกว่า คือความต้องการให้คนไทย เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งในภาวะที่เศรษฐกิจโลกกำลังผันผวน และจะรักษาประชาธิปไตยไว้ตลอดไป

เสียงบรรยายในวีทีอาร์ บอกว่า เวลาได้พิสูจน์แล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาสาเข้ามาทำงานการเมืองโดยยึดมั่นและรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่มีพระ มหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทุ่มเท อาสาทำงานไม่รู้เหน็ดเหนื่อย สร้างประโยชน์ให้ชาติและประชาชนอย่างมากมาย สมควรแล้วหรือที่จะถูกเอาชีวิต ถูกดำเนินคดี จนต้องหนีภัยไปจากแผ่นดินเกิด ทั้งที่ไม่ได้ทำผิด ถึงเวลาแล้วที่คนไทยที่รักชาติ รักความเป็นธรรม ที่จะทวงถามความถูกต้อง เพื่อนำความสงบสุขกลับสู่คนในชาติ และไม่ให้ประชาธิปไตยสูญหายไปจากประเทศไทย พร้อมกับหยิบยื่นความยุติธรรมคืนให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

วีทีอาร์ดังกล่าว จบเวลาในประมาณ 20.50 น. ด้วยเสียงเพลง"มีแต่คิดถึง"ของธงไชย แมคอินไตย์ และเมื่อเพลงจบ ก็มีเสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังขึ้น โดยมีนายวีระ กล่าวทักทาย

พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวกับผู้ชุมนุมว่า คิดถึงผมบ้างไหม ซึ่งนายวีระได้ตอบแทนผู้ชุมนุมว่าคิดถึง หลังจากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้บอกว่า ช่วงนี้ตนคงยังกลับประเทศไทยไม่ได้ เพราะถูกตัดสินจำคุก 2 ปี และอายุความถึง 10 ปี ทั้งนี้อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุกนั้นกล่าวว่า ประชาชนคงไม่ปล่อยให้เขาต้องอยู่ต่างประเทศยาวนานขนาดนั้นใช่หรือไม่ ซึ่งกลุ่ม นปช.ในสนามรัชมังคลากีฬาสถานก็ส่งเสียงเชียร์ดังสนั่น

พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวต่อว่า การที่ตนโทร.มาครั้งนี้ ไม่ได้ต้องการยุยงให้เกิดความแตกแยกอย่างที่กล่าวหากัน เพราะตนไม่ใช่หัวหน้าม็อบ ถึงจะโดนยัดเยียดคุกให้ก็ตาม อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นอดีตนายกฯ ก็คงห่วงชาติบ้านเมืองอย่างเดิม
นายวีระ ได้พูดกับ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ถ้ากระบวนการยุติธรรมจัดการกับท่านอย่างยุติธรรมก็ไม่มีปัญหา แต่ประชาชนที่มาที่นี่ตัดสินแล้วว่าเป็นกระบวนการยุติธรรมที่ใช้ไม่ได้ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวตอบว่า น่าจะเรียกว่า เป็นการใช้กระบวนการยุติความเป็นธรรม และพูดต่อว่า คงไม่มีใครคิดว่าอดีตนายกฯ ที่เคยได้รับเลือกตั้ง 2 ครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่ 2 ได้ถึง 377 เสียง ครองเสียงข้างมากในสภา แต่กลับถูกลอบฆ่า ซ้ำยังโดนปฏิวัติ ในขณะที่ยังมีคะแนนนิยมสูง มันถึงได้ยุ่ง

พ.ต.ท.ทักษิณย้ำว่า สังคมเกิดความแตกแยกเพราะการปฏิวัติ 19 ก.ย. ซึ่งต้องการจัดการกับคนๆ เดียว โดยใช้วิธีการให้ยุติความเป็นธรรม การต่อสู้ทางการเมืองที่เกิดขึ้นจนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้น เกิดจากการต่อสู้ทางอุดมการณ์และการไม่ได้รับความยุติธรรม ความไม่ยุติธรรมมันเป็นเหตุของการมารวมกันของประชาชนที่มาต่อสู้ เพื่อนำความยุติธรรมคืนสู่สังคมของเขา

“ผมและครอบครัวถูกทำร้าย ถูกอายัดทรัพย์ที่หากินมาทั้งชีวิตก่อนเข้าสู่การเมือง มีการสั่งจำคุก ตั้งข้อหาผมทั้งครอบครัว แม้แต่เลขาฯ ก็ไม่เว้น ครอบครัวของผมต้องกระสานซ่านเซ็น แต่ความเดือดร้อนของผมและครอบครัวเปรียบเทียบกับความเดือดร้อนของประเทศแล้ว ถือว่าเล็กน้อย”

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่อว่า การยึดอำนาจวันที่ 19 ก.ย. เป็นการยึดอำนาจเพื่อเอานายกฯ ที่บ้างานออกไป แล้วเอาคนแก่ที่ควรจะเลี้ยงหลานอยู่ที่บ้านมาเป็นแทน ตนอยู่ที่อังกฤษ ไม่มีอะไรทำจึงไปซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตีมาบริหาร แต่เมื่อเงินที่ถูกอายัดไม่ได้รับคืนจึงต้องขายสโมสรเพื่อเอาเงินมาเลี้ยง ครอบครัวในช่วงที่ต้องชดใช้กรรมอยู่ต่างประเทศ แต่เป็นกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ แต่อยู่เมืองนอกก็มีนักธุรกิจ ผู้นำหลายประเทศสนใจมาติดต่อไปเป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์ ช่วยแก้ปัญหาความยากจนให้เขา ซึ่งคิดดูก็น่าภูมิใจ แต่ก็เศร้าใจที่ทำให้ประเทศไทยไม่ได้

นายวีระ ได้พูดกับ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ถ้าประชาชนเรียกร้องอย่างสันติและสงบ ให้คนมีฝีมือมาทำงานให้ชาติ ก็น่าจะเป็นไปได้ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวตอบว่า “แน่นอนครับ ไม่มีใครเอาผมกลับมาได้ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา รวมทั้งพลังของพี่น้องประชาชน ที่จะเอาผมกลับ”

นายวีระ จึงพูดต่อว่า มีคำพูดที่กินใจ คือ การอาศัยพลังบารมีของพระองค์ท่านกับพลังของประชาชนรากหญ้า นั่นคือ “ราชประชาสมาสัย” พ.ต.ท.ทำษิณ ได้กล่าวตอบว่า “ผมฟังแล้วขนลุกครับ เรียกว่า เย็นศิระเพราะพระบริบาล” นายวีระ จึงกล่าวย้ำว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นแน่ เราจะได้เห็นแน่ “ราชประชาสมาสัย”

หลังจากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้บอกให้ผู้มาชุมนุมดูภาพวิดีโอการปราศรัยของเขา บนจอโปรเจกเตอร์ ซึ่งเนื้อหาหลักๆ เป็นการกล่าวโจมตีการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย. ว่า เป็นต้นตอของปัญหาประเทศ และทำให้เกิดความแตกแยก นำมาซึ่งความไม่ยุติธรรม เพราะได้กล่าวหาและดำเนินคดีกับเขา จนต้องถูกสั่งจำคุก และเขาต้องอยู่ต่างประเทศเพื่อชดใช้กรรมที่ไม่ได้ก่อ

สำหรับเนื้อหาในวิดีโอคลิป ที่ฉายทางจอโปรเจกเตอร์นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวกับผู้ชุมนุมว่า พี่น้องมารวมตัวกันที่นี่เพราะความรักชาติ รักประชาธิปไตย และเกลียดความไม่ยุติธรรม จึงขอให้กำลังใจ และต้องขอกำลังใจจากพี่น้องประชาชนเช่นกันเพราะได้พบกับสิ่งที่ไม่คาดคิด หลายอย่างในชีวิต

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่อว่า อยากเรียกว่า เผด็จการที่เกิดขึ้นใน 19 ก.ย.49 นั้น จะเกิดอะไรขึ้นกับตนก็แล้วแต่ แต่กับประเทศชาตินั้นเสียหายมาก เพราะมีการทำลายนโยบายที่เป็นความหวังของประชาชน เป็นอนาคตของเยาวชน โครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ เสียหายมาก และที่สำคัญนำความไม่ยุติธรรมเข้าสู่สังคมไทย เพราะแค่ต้องการจัดการคนๆ เดียวออก แต่ประเทศที่พัฒนาประชาธิปไตยมาต่อเนื่อง กลับถูกท้าทายว่าจะถดถอยหรือถอยหลังไปอีก เพราะฉะนั้นเราต้องต่อต้านการรัฐประหาร เอาประชาธิปไตย กลับมา เพราะประชาธิปไตยเป็นจิตวิญญาณ

อดีตนายกฯ อ้างว่า ขณะนี้วิกฤติการเงินโลกกำลังสร้างความเสียหายอย่างหนัก ประมาณไม่ถูกว่าเสียหายแค่ไหน แต่ความเสียหายตรงนี้ จะมาถึงประเทศไทย ญี่ปุ่นก็ไปถึงแล้ว จนหุ้นตกในรอบ 20 กว่าปี ค่าเงินอินโดนีเซียก็อ่อนลงเท่ากับช่วงวิกฤติปี 2540 ขณะที่ตลาดหุ้นไทยก็ออกอาการแล้ว การส่งออกของเราจะมีปัญหาแน่ สินค้าเกษตรมีปัญหาแน่ เราได้เตรียมตัวอะไรไหม วันนี้การเตรียมตัวทำได้ลำบาด เพราะการเมืองในประเทศเต็มไปด้วยความขัดแย้ง

นักลงทุนต่างชาติ เขาแปลกใจว่าทำไมเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย กฎหมายไปไหนหมด การบังคับใช้กฎหมาย ทำไมไม่เกิด ทำไมเกิดไม่ได้ คนมาเป็นรัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะคณะรัฐประหารได้ฝากรัฐธรรมนูญเผด็จการไว้ให้ องค์กรอิสระก็ไม่อิสระ สังคมแตกแยกเพราะเห็นความไม่ยุติธรรม ประชาธิปไตยก็ไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้าพวกเราไม่รักษาประชาธิปไตย ขจัดเผด็จการ โอกาสที่จะมีประชาธิปไตย มีสันติ มีวัฒนธรรมที่ดีงามก็ลำบาก

ขอให้ทุกฝ่ายให้อภัยกันหันหน้าหากัน วัฒนธรรมที่ดีงามจะทำให้คนเข้ามาในประเทศไทย เขาไม่อยากเห็นการทะเลาะกันอย่างนี้ ไม่เช่นนั้นความเชื่อมั่นที่จะมาค้าขายก็ไม่มี ลูกหลานก็ลำบาก เรียนหนังสือไป เสียเงินเสียทองไปมากมายก็จำลำบาก เมื่อเด็กแย่ผู้ใหญ่ก็แย่

พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่า ความเห็นที่แตกต่างกันในประเทศนั้น ให้เอามาใช้ในการสร้างชาติ ไม่ใช่เอามาแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ซึ่งนับวันแต่จะมีความรุนแรงขึ้น ขอชื่นชมที่ท่านมาชุมนุมกันอย่างสันติ พวกท่านมีมาหัวใจรักชาติ รักประชาธิปไตยรักความเป็นธรรม ไม่พกอาวุธมา ขอชื่นชม

ในช่วงท้าย พ.ต.ท.ทักษิณ บอกกับผู้ชุมนุมว่า ตนคงใช้ชีวิตที่ต่างแดนสักระยะหนึ่ง คงไปช่วยประเทศอื่น ตามที่เขาต้องการ ให้ไปช่วยพลิกฟื้นจากความยกจน และทำธุรกิจหาเลี้ยงปากท้องครอบครัว เพราะเงินที่ยังถูกอายัดอยู่ก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร คงถือเป็นกรรมที่ต้องชดใช้ แต่เป็นกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ

คำต่อคำ"ทักษิณ"โฟนอิน(ขอตัดข้อความบางส่วนที่อาจหมิ่นศาล)

วีระ - ต่อจากนี้ ผมคงจะขอรบกวนพี่น้องว่า ช่วยฟังสงบๆ เพราะว่าเสียงโทรศัพท์ อาจจะชัดหรือไม่ชัด เดี๋ยวเรามาทดลองฟังกัน อะโหล อะโหล

ทักษิณ - ครับ สวัสดีครับ อาจารย์วีระครับ ขอบคุณครับ ท่านวีระครับ สวัสดีครับ

วีระ - ท่าน นช.

ทักษิณ - สวัสดีครับพี่น้องผู้รักประชาธิปไตย พี่น้องผู้รักความเป็นธรรม เขาบอกว่าคนที่โดนอย่างผมนี่ แค่รักษาลมหายใจตัวเองไว้ก็ลำบากเต็มทีแล้ว ถ้าไม่มีพี่น้องประชาชนให้กำลังใจอย่างงี้ก็คงอยู่ไม่ได้หล่ะครับ

วีระ - ผมมีคำถามจพถามท่านอยู่หลายคำถาม แต่ผมไม่สามารถที่จะพูด ตั้งคำถามกับท่าน เพราะว่าพี่น้องจำนวนแสนเนี่ย อยากฟังเสียงท่านพูดกับเขามากกว่า ท่านมีอะไรจะพูดกับพี่น้องประชาชนที่เขารักท่าน เขาคิดถึงท่าน ท่านพูดยาวไปได้เลยครับ

ทักษิณ - ครับ ขอบคุณครับท่านวีระครับ สวัสดีครับพี่น้องผู้รักประชาธิปไตย พี่น้องผู้รักความยุติธรรมที่เคารพทุกท่านครับ จำเสียงผมได้ไหมครับ ที่รู้ๆ

วีระ - ได้ยินไหมครับ

ทักษิณ - ได้ยินครับ

วีระ - ได้ยินเสียงตอบรับอย่างชัดเจนใช่ไหมครับ

ทักษิณ - ครับ ได้ยินครับ ขอบพระคุณครับ

วีระ - งั้นว่าต่อเลยครับ ว่าต่อเลยครับ

ทักษิณ - ที่รู้ๆ ผมคิดถึงท่านนะครับ ผมคิดถึงเวทีปราศรัยครับ เพราะว่าเวลาปราศรัยได้เนี่ย ได้เห็นปฏิกิริยากับอารมณ์ของพี่น้องประชาชนรวมทั้งสายตาด้วย มันทำให้มีความรู้สึกเหมือนเราเอาหัวใจพูดกันครับ (เสียงเฮ)

ท่านคิดถึงผมบ้างไหมครับ (เสียงตอบ"คิดถึง" และเสียงเฮ) ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมากครับ สำหรับกำลังใจครับ

วีระ(ร้องเพลง) - คิดถึงใจจะขาด ฮะๆๆ(หัวเราะ)

ทักษิณ - ท่านวีระครับ ผมยังไปไม่ได้ ทั้งๆ ที่คิดถึง ผมยังไปไม่ได้ เพราะผมถูกสั่งให้จำคุก 2 ปี พอผมไม่ไป อายุความ 10 ปี แสดงว่าเขาต้องการเอาผมไว้เมืองนอก 10 ปี ผมเลยถามว่าพี่น้องจะเก็บผมไว้ต่างประเทศนานขนาดนั้นไหมครับ

ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าวุ่นวายกันหมด พอรู้ว่าผมจะโฟนอิน

วีระ - ครับ

ทักษิณ - เขากลัวว่าผมจะพูดยุยงให้แตกแยกกัน โถ...ผมไม่ใช่หัวหน้าม็อบนะครับ (เสียงเฮ) ถึงจะโดนยัดเยียดคุกให้ ก็ยังเป็นอดีตนายกฯ นะครับ(เสียงเฮ) ก็คงจะต้องห่วงบ้านเมือง ห่วงพี่น้องประชาชน ก็คงจะสำนึกต่อชาติบ้านเมืองเหมือนเดิมหล่ะครับ

วีระ - ครับ พี่น้องประชาชนที่นี่เนี่ยนะครับ เขาก็เป็นคนรักความยุติธรรม รักกฎหมาย เขาก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับถ้าหากว่าใครจะจัดการกับท่าน โดยการใช้กระบวนการของกฎหมายตามปรกติ ไม่มีปัญหา

ทักษิณ - ถูกต้องครับ

วีระ - แต่ที่มันมีปัญหาเนี่ย เพราะ คนที่นี่เขาลงมติแล้วครับ ว่ากระบวนการยุติธรรมที่เขาใช้กับท่านนั้น ใช้ไม่ได้เลย

ทักษิณ - ไม่ใช่ฮะ เขาใช้กระบวนการ...ท่านวีระครับ

วีระ - ครับผม

ทักษิณ - เขาใช้กระบวนการ..(xxxx)...ฮะ(เสียงเฮ)

วีระ - ฮ่า.......

ทักษิณ - พี่น้องครับท่านคิดไหมว่าอดีตนายกคนหนึ่งเนี่ย ที่เคยเป็นที่ยอมรับชนะการเลือกตั้ง 2 ครั้ง ล่าสุดได้ 377 จาก 500 เป็นประวัติศษสตร์ แต่กลับถูกลอบฆ่า โดนปฏิวัติ แต่การปฏิวัติเนี่ย ปรกติเขาทำกันตอนรัฐบาลไม่ดี ไอ้นี้รัฐบาลยังมีคะแนนนิยมสูงมาก มันฝืนความรู้สึกประชาชนส่วนใหญ่ใช่ไหมครับ มันถึงได้ยุ่งอย่างทุกวันนี้ไงครับ เพราะดันปฏิวัติเอาตอนที่ประชาชนยังชื่นชมรัฐบาลอยู่

วีระ - รวมความแล้วที่เขาพิจารณากันในวันนี้เนี่ย ฟังแล้วก็คือว่า ความแตกแยกจริงๆ ของสังคมไทยทุกวันนี้มันเกิดเพราะการปฏิวัติเมื่อ 19 กันยายน 49

ทักษิณ - ใช้ครับ มันต้อง.. มันต้องการจัดการกับคนๆ เดียว โดยเอากระบวนการยุติธรรมให้(xxxxx)
วีระ - ครับ ทีนี้เราก็จะช่วยกัน ในฐานะท่านเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี แน่นอนที่สุดท่านต้องรักชาติ ท่านต้องรักประชาชน

ทักษิณ - แน่นอนครับ

วีระ - ท่านรักสถาบัน เทิดทูลสถาบันทุกสถาบัน

ทักษิณ - แน่นอนครับ

วีระ - เพราะฉะนั้น เราจึงจะต้องเริ่มต้นความรักของคนในชาติ หรือสมานสามัคคีคนในชาติ แต่มันต้องสมานสามัคคี ด้วยการ ความยุติธรรมพื้นฐานต้องมี อันนี้เป็นข้อต้นใช้ไหมท่าน

ทักษิณ - แน่นอนครับ ปกตินี่ ท่านวีระครับ การต่อสู้ทางการเมืองที่เกิดขึ้นจนมีการเปลี่ยนแปลงการเมืองครั้งสำคัญใน ทั่วโลก ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เกิดจากการต่อสู้ทางอุดมการณ์และการไม่ได้รับความยุติธรรมทั้งสิ้น

วีระ - ใช่แล้ว ผมกับท่าน 2 คนเนี่ย รู้รสชาติ

ทักษิณ - เพราะฉะนั้นเนี่ย ความไม่ยุติธรรมนี่ละครับ มันเป็นเหตุแห่งการที่ทำให้ประชาชนต้องมารวมตัวกันต่อสู้เพื่อที่จะให้ความ ยุติธรรมกลับมาสู่สังคมของเขาครับ

วีระ - ครับ

ทักษิณ - พี่น้องครับ ผม ทั้งครอบครัวครับ ถูกทำร้าย ไม่ว่าจะเป็นการอายัดทรัพย์ที่หากินมาได้ทั้งชีวิตก่อนเข้าการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการสั่งจำคุก ไม่ว่าจะเป็นการตั้งข้อหาทั้งครอบครัว แม้กระทั่งเลขาฯ ก็ยังไม่เว้น

วีระ - แต่ว่าท่านครับ

ทักษิณ - ครอบครัวต้องแตกกระสานซ่านเซ็น พ่ออยู่ทาง แม่อยู่ทาง ลูกอยูทาง แต่ความเดือดร้อนของผมและครอบครัวถ้าเทียบกับประเทศเสียหายนี้ถือว่ายังเล็ก น้อยครับ

วีระ - นั่นสิครับ นี่ละครับ(เสียงเฮ)

ทักษิณ - ผมทนได้ แต่ว่าปัญหาคือประเทศมันจะย่อยยับ ท่านวีระครับ

วีระ - เห็นตรงกันเลยครับท่านครับ ปัญหาของท่านและครอบครัวของท่านหนักหนาสาหัสก็จริงอยู่ แต่เมื่อเทียบกับความทุกข์ของคนไทย

ทักษิณ - ใช่ครับ

วีระ - ปัญหาที่กำลังจะถาโถมเขาคนไทย ผมเชื่อว่าคนอย่างท่านจะต้องมุ่งแก้ปัญหาของคนไทยทั้งประเทศก่อนแน่นอน

ทักษิณ - แน่นอน แน่นอนครับ ท่านวีระครับ ผมเนี่ยนะเป็นคนบ้างาน ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าเป็นพวกไฮเปอร์แอกทีฟ

วีระ - ก็นั่นแหละ ทั่นหนะ ทำแต่งานไม่รู้จักประชาสัมพันธ์ตัวเองบ้างเล้ย...(ลากเสียงยาว ตามด้วยเสียงเฮ)

ทักษิณ - แหม..มัน..แหะๆ (ทำเสียงเหมือนเขิน) มันความสุขเวลาทำงานมันสำเร็จ คุณวีระครับ เวลาผมถูกนี่ เขาไล่คนที่บ้างานออกไป ตอนปฏิวัติ แล้วเขาไปเอาคนที่เลี้ยงหลานอยู่ที่บ้าน เรียกมาช่วยทำงานทีเหอะ

วีระ - เหอะๆๆ(หัวเราะ)

ทักษิณ - นี่ระหว่างผมอยู่อังกฤษ ผมไม่มีอะไรทำก็กลัวจะสมองฝ่อ กลัวเหงา ก็ไปซื้อทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้ มาบริหาร ก็ตอนหลังมา นึกว่าจะได้เงินคืน เขาก็ยังไม่ถอนอายัด

วีระ - อ้อ

ทักษิณ - ผมก็เลยต้องขายทีมไป ขายทีมให้กับพวกเชคที่อาบูดาบี พอจะมีกำไรไว้เลี้ยงครอบครัวไว้ใช้จ่ายระหว่างที่ต้องชดใช้กรรมที่ตัวเองไม่ ได้สร้างอยู่ที่เมืองนอกนี่หละครับ

วีระ - อื้อ

ทักษิณ - ตอนนี้พอเขาเห็นว่าผมทำงานระดับโลกสำเร็จ เขาก็มีนักธุรกิจหลายประเทศไปชวนมาทำธุรกิจ ผู้นำหลายประเทศมาขอให้ผมเป็น เขาเรียกว่าเป็นราษฎรกิตติมศักดิ์ เพื่อช่วยคิดแนวทางแก้ปัญหาความยากจนของเขา ผมนึกแล้วก็ภูมิใจครับ แต่ลึกๆ ก็เศร้าใจ คุณวีระ
วีระ - ครับ

ทักษิณ - เพราะทำให้ใครก็ได้ในโลกนี้ แต่ทำให้ประเทศตัวเองไม่ได้

วีระ - นี่สิครับ (เสียงเฮ) แต่ผมเชื่อว่า ถ้าเป็นการเรียกร้อง ของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งทำกันอย่างเรียบร้อย สงบ สันติ ปราศจากอาวุธ แต่เป็นการเรียกร้องให้คนมีฝีมือมาทำงานให้กับประเทศชาตินี่ ผมว่ามันเป็นไปได้นะครับท่าน

ทักษิณ - ครับ แน่นอนครับ

วีระ - เป็นไปได้

ทักษิณ - แน่นอนครับ ท่านวีระครับ พี่น้องคัรบ ไม่มีใครนะฮะ ที่จะเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอกครับ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็พลังของพี่น้องประชาชนเท่านั้น จริงไหมครับ(เสียงเฮ)

วีระ - เมืองไทยเรานะครับท่านครับ เมืองไทยเราเนี่ย มันมีศัพท์อยู่คำหนึ่งซึ่งค่อนข้างจะกินใจ ท่านพูดมาแบบนี้นี่ทำให้ผมนึกถึงคำศัพท์คำนั้น คือเป็นความร่วมมือกันระหว่างสถาบันสูงสุด อาศัยพระบารมีของท่าน บวกกับพลังรากหญ้าคือมวลมหาประชาชนเข้าด้วยกัน

ทักษิณ - โอ้โห

วีระ - คำนั้นเขาเรียกว่า ราชประชาสมาศรัย

ทักษิณ - โอ้โห

วีระ - ทางนี้หละครับ

ทักษิณ - ขนลุกเลยครับ คุณวีระครับ ผมฟังแล้วขนลุกนะครับ เหมือนที่บอกว่าเย็นศิระเพราะพระบาริบาลนี่หละครับ

วีระ - ใช่ครับ ใช่ครับ เรื่องนี้เป็นจริงแน่ เกิดได้ครับ เกิดได้ครับในเมืองไทย เราจะได้เห็นกันเรื่องของราชประชาสมา

ทักษิณ - ขอบพระคุณครับ

เอาหละครับ พี่น้องครับ มาดูหน้าตาผมดีกว่า ว่าโทรมลงไปขนาดไหน

วีระ - อ้อ

ทักษิณ - แก่แค่ไหน เพราะโดนขนาดนี้ มันไม่โทรมก็แย่ละครับ

วีระ - เอ้า หันไปดูจอ หันไปดูจอ

ทักษิณ - เมื่อก่อนเวลาผมไปอีสาน นะท่านวีระ

วีระ - ครับ

ทักษิณ - ชาวบ้านบอกว่า หล่อ แต่ถ้าคราวนี้ คงเห็นบอกว่า แก่ โทรม

วีระ - อ้อ อะฮะๆๆ

ทักษิณ - เอาละมาดูหน้าตากันดีกว่าครับ

วีระ - ครับ ครับๆๆๆ ถ้ายังงั้นก็ไปตามคำเชิญชวนของท่าน นช. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรฮะ เอ้าๆๆ ไปดูหน้าตาท่านซิ (เสียงเฮ)

“ทักษิณ”พูดในวีทีอาร์

"วันนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีมาก แล้วก็ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองของประเทศไทยก็ได้ พี่น้องได้มารวมตัวกันที่นี่ อย่างไม่มีใครเป็นผู้นำ แต่สิ่งที่นำท่านมาก็คือว่าความวิตกกังวล ความรักชาติ รักประชาธิปไตย ความเกลียดความไม่ยุติธรรมในประเทศไทย ทำให้ท่านทั้งหลายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ซึ่งผมขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ท่านทุกคน ครับ ก็ถือว่าเป็นกำลังใจจากคนที่ก็แทบจะไม่มีกำลังใจเช่นกัน เพราะว่าต้องพบกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เจอขนาดนี้ นะครับ

พี่น้องครับ วันนี้ ผมอยากจะเรียนว่า เผด็จการที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 นั้น ผมคิดว่าตัวผมเอง จะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่ เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ผมว่ามันเป้นเรื่องเล็กเหลือเกิน ประเทศไทยวันนี้เสียหายมากจากการปฏิวัติในครั้งนี้ เพราะว่าเขาได้ทำลายนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน นโยบายที่เป็นความหวังของประชาชน นโยบายที่เป็นอนาคตของเยาวชน ถูกทำลายหมดครับ

โครงสร้างทางสังคม โครงสร้างทางเศรษฐกิจ เสียหายมาก และที่สำคัญก็คือว่า เริ่มต้นก็นำความไม่ยุติธรรมเข้าสู่สังคมไทย เพราะความที่ต้องการขจัดคนๆ หนึ่ง หรือว่าพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่ได้พัฒนา ประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง แต่วันนี้ประชาธิปไตยกำลังถูกท้าทายว่า จะเดินหน้าไปเข้าสู่ประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าขึ้น หรือว่าจะถูกถดถอย ถอยหลังไปอีกหลายสิบปี

เพราะฉะนั้นวันนี้ มันอยู่ที่พี่น้องต่างหาก ที่ว่าเราจะช่วยกันต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหาร ต่อต้านสิ่งที่ทำลายประชาธิปไตยทุกรูปแบบ เพื่อเราจะได้ประชาธิปไตยที่เป็นระบบที่ให้ความเป็นธรรมกับคน ระบบที่มีความถ่วงดุล ไม่มี 2 มาตรฐาน เหมือนที่ทุกวันนี้ ที่เราเผชิญอยู่
พี่น้องครับประชาธิปไตยนี่มันเป็นจิตวิญญาณของการบริหารประเทศ เศรษฐกิจจะดีได้ ก็ต่อเมื่อระบบการเมืองการปกครองของประเทศเป็นธรรม และให้โอกาสคน แต่วันนี้เศรษฐกิจของโลกกำลังเข้ามา เป็นอันตรายอย่างสูง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เนี่ย เขาเรียกว่า Global Finacial Crisis ก็คือวิกฤติการทางการเงินโลก และดันเกิดกับประเทศที่เป็นเจ้าตำรับทุนนิยม ก็คืออเมริกาและแถบยุโรป ความเสียหายนับค่าไม่ได้ จนวันนี้เนี่ย ภาษาเขาเรียกว่า หา bottom ยังไม่เจอ คือหาจุดต่ำสุดยังไม่เจอ เพราะเนื่องจากว่าประมาณไม่ถูกว่ามันเสียหายแค่ไหน

ความสัมพันธ์ ไอ้ ความเสียหายตรงนี้มันจะมาถึงประเทศไทย มาถึงแถบเอเชียแน่นอน แล้วก็เริ่มถึงแล้ว ยุโรปเมื่อไม่กี่วัน อ่า..ญี่ปุ่นเมื่อไม่กี่วันก่อน ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตกลงต่ำที่สุดในรอบ 26 ปี วันนี้ทางอินโดนีเซีย ค่าเงินรูเปียะห์ ไปที่ 11,000 รูเปียะห์ ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเท่าๆ กับตอนที่เกิดวิกฤติทางการเงินเมื่อปี 2540 เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะถึงประเทศไทย ถามว่าถึงไหม ถึงแน่นอน ตลาดหลักทรัพย์ก็ออกอาการไปแล้ว วันนี้เอสเอ็มดีเริ่มมีปัญหาแล้ว แน่นอน ส่งออกมีปัญหาแน่นอน ราคาสินค้าเกษตรมีปัญหาแน่นอน คนตกงานเพิ่มขึ้นแน่นอน

แล้วถามว่าเราเตรียมตัวอะไรไว้ไหม ผมว่าวันนี้ คนจะเตรียมตัวก็เตรียมตัวลำบากครับ เพราะเนื่องจากว่าสถานการณ์ของการเมืองภายในประเทศนั้นเนี่ย เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ทำเนียบก็ถูกยึด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ เขา.. เขาแปลกใจกันว่า ทำไมเกิดขึ้นได้ในประเทศไทย กฎหมายไปไหนหมด เขาเรียกว่า Law and Order นะครับ การบังคับใช้กฎหมายไม่เกิด เกิดไม่ได้ คนมาเป็นรัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะอะไรครับ ผลพวงจากการปฏิวัติรัฐประหารฝากรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการไว้ให้ ซึ่งเป็นร่างปี 2550 ฝากองค์กรอิสระ ซึ่งไม่อิสระ เลือกข้าง ฝากไว้ให้

เพราะฉะนั้นสังคมก็เลยกลายเป็นสังคมที่ แตกแยก แตกแยกโดยอุดมการณ์ แตกแยกโดยการสนับสนุนฝ่าย แตกแยกโดยการเพราะการเห็นความไม่ยุติธรรม การเห็นประชาธิปไตยที่มันไม่ได้เป็นประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าหากว่าเราไม่สามารถรักษาประชาธิปไตยไว้ ไม่สามารถขจัดระบบเผด็จการออกไปไว้ ออกไปได้ ผมคิดว่า โอกาสที่ประเทศไทยจะกลับเข้ามาสู่ประเทศไทยที่มีแต่สันติ มีวัฒนธรรมที่ดีงาม ก็คงจะ จะลำบาก
พี่น้องครับ ผมอยากจะเป็นกำลังใจและอยากจะขอร้องให้ทุกฝ่าย หันหน้าเข้าหากัน ให้อภัยซึ่งกันและกันดีกว่า เพราะว่าวัฒนธรรมที่ดีงามต่างหาก ที่ทำให้คนอยากมาประเทศไทย เขาไม่อยากเห็นความขัดแย้งอย่างงี้ แล้วความเชื่อมั่นที่เขาจะมาลงทุน ความเชื่อมั่นที่เขาอยากจะมาค้ามาขายกับคนไทยนั้นเนี่ย มันจะได้เกิดขึ้น ถ้าไม่เช่นนั้นประเทศไทยก็ลำบาก พี่น้องประชาชนก็ละบาก ลูกหลานก็ลำบาก ถ้าเศรษฐกิจยังเป็นอย่างงี้ ลูกหลานที่เราอุตส่าห์ส่งเงินไปเรียนนี่ เรียนหนังสือหนังหา เสียเงินเสียทองไปเยอะแยะนี่ กลับจบมาแล้วไม่มีงานทำครับ เด็กก็แย่ ผู้ใหญ่ก็แย่ สังคมก็แย่

งั้นผมว่า เรามาช่วยกันสร้างเศรษฐกิจดีกว่า ความเห็นที่แตกต่างในระบอบประชาธิปไตย เขาใช้มาช่วย เขาใช้เอามาสร้างชาติ เขาไม่เอาความคิดเห็นที่แตกต่างมาแบ่งฝ่าย แล้วก็นับวันมีแต่ความรุนแรงขึ้น แล้วผมขอชื่นชม ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านทั้งหลายที่มาชุมนุมกันอย่างสันติ พวกท่านมีมาแค่หัวใจ ความรักชาติ ความรักประชาธิปไตย ความรักความยุติธรรม ท่านไม่เคยพกอาวุธมา อันนี้คือสิ่งที่ผมขอชื่นชม และให้กำลังใจ

ผมคิดว่าการแสดงออกในประชาธิปไตยที่ถูกต้องเพื่อส่งสัญญาณให้ผู้ใดก็ แล้วแต่ ได้รับทราบ รับรู้ว่า นี่คือคนไทยส่วนใหญ่ อยากเห็นประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าขึ้น อยากเห็นความยุติธรรมในสังคมไทย อยากเห็นความสมัครสมานสามัคคีในสังคมไทย นี่คือสิ่งที่ท่านมารวมตัวกันวันนี้ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครนำพาท่านมา แต่สิ่งที่นำพาพวกท่านก็คือความที่ห่วงใยชาติเท่านั้นเอง

ก็ขอขอบคุณท่านอีกครั้งที่ให้โอกาสผมได้พูดในวันนี้ จริงๆ แล้วผมก็ไม่แน่ใจว่า ผมจะได้พูดหรือเปล่า ต้องขอบคุณผู้จัดรายการที่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดกับพี่น้องประชาชน อีกครั้งหนึ่ง
สำหรับผมเองก็ ขอใช้ชีวิตที่อยู่ต่างแดนอีกสักระยะหนึ่ง นะครับ ก็คงใช้ ก็คงจะทำหน้าที่ เรื่องของการไปช่วยเหลือประเทศอื่นตามที่เขาต้องการว่าให้ผมไปช่วยเรื่อง นโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การพลิกฟื้นประเทศของเขาจากประเทศยากจน ก็จะพยายามทำ เท่าที่เวลามี แล้วก็ขณะเดียวกันก็จะไป ก็ทำธุรกิจเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว นะครับ เพราะว่าเงินทองก็ เขาก็ยังอายัดผมไว้อยู่ ก็ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น

นี่คือโชคชะตาที่ผมรับ ก็ถือว่าเป็นกรรมที่ต้องชดใช้ แต่ว่าเป็นกรรมที่ไม่ได้สร้างเองนะครับ ก็ขอเป็นกำลังใจซึ่งกันและกันครับ ผมเองก็ต้องการกำลังใจ ก็ขอบคุณหลายท่านที่ส่งกำลังใจมาให้ผม ในรูปแบบต่างๆ แล้วก็ขอเป็นกำลังใจให้ท่านด้วย

ก็ ผมรู้ครับ เมืองไทยวันนี้ เหนื่อย เพราะมีแต่ข่าวร้าย มีแต่เรื่องของความขัดแย้ง แต่ว่า ด้วยพลังใจของพวกเราทุกคน สิ่งเหล่านี้คงจะ ผ่านไปด้วยดีครับ ขอขอบคุณครับ ขอให้มีกำลังใจทุกๆ คน นะครับ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ"