Thursday, October 30, 2008

Mob Planet คู่มือท่องเที่ยวม็อบพันธมิตรฯ


ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่เคยไปเดิน เตร็ดเตร่ในม็อบพันธมิตรฯ และไม่ว่าคุณจะอยู่ฝ่ายไหน เราอยากให้คุณลองไปสักครั้ง ไม่ได้ชวนไปร่วมชุมนุม แต่ชวนไป ‘เที่ยว’

เพราะนับจากวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 ที่พันธมิตรฯ เริ่มต้นชุมนุม ถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไป 150 กว่าวันแล้ว ไม่ใช่เพียงในแง่ความยาวนานผิดปกติม็อบ แต่มันยังก่อเกิดวัฒนธรรมม็อบการเมืองที่มีสีสัน ชนิดที่ไม่มีม็อบประเทศไหนเขาทำกัน ทำให้เกิดสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่กลางกรุง ตั้งแต่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เรื่อยมาถึงแยกมิสกวัน เลี้ยวขวาเข้าถนนพิษณุโลกแล้ววนรอบทำเนียบรัฐบาล จนกลับออกมาที่สะพานมัฆวานฯ อีกครั้ง

‘ปริทรรศน์’ วันนี้จึงขอหลีกเลี่ยงการเมืองเรื่องเครียด อาสาเป็นไกด์นำเที่ยว พากินลมชมวิว เดินทอดน่อง จับจ่ายซื้อของ แวะชิมอาหารอร่อยๆ และชมผลิตผลทางศิลปวัฒนธรรมม็อบแบบไทยๆ

รู้จัก MOB PAD

เผื่อว่าบางคนอาจยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมือง ไม่รู้ว่าสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ผุดขึ้นมาได้อย่างไร จึงขอบอกกล่าวสั้นๆ ถึงประวัติความเป็นมาของถนนสายวัฒนธรรมม็อบสายนี้

สถานการณ์ทางการเมืองนับตั้งแต่ปี 2549 ที่มีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพื่อขับไล่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดำเนินต่อเนื่องจนเกิดการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 หลังจากนั้นบ้านเมืองเราก็ลุ่มๆ ดอนๆ โคลงเคลงไปมา จนมีการเลือกตั้งใหม่ในปลายปี 2550 พรรคพลังประชาชนได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นจำนวนมากที่สุดและได้เป็นผู้นำใน การจัดตั้งรัฐบาล

แต่รัฐบาลยังทำงานได้ไม่กี่มากน้อยก็ลุกลี้ลุกลนจะแก้รัฐธรรมนูญให้ ได้ ซึ่งหลายฝ่ายมองออกว่าต้องการแก้เพื่ออะไรและเพื่อใคร จึงเป็นเหตุให้พันธมิตรฯ หวนคืนสู่ท้องถนนอีกครั้ง ปักหลักชุมนุมกันที่สะพานมัฆวานฯ เกิดปฏิบัติการไทยคู่ฟ้า และยึดทำเนียบฯ ยืดเยื้อจนถึงปัจจุบันขณะ

ระหว่างนั้น จากที่มีแต่เวทีปราศรัยกับเต็นท์ที่พักของผู้ร่วมชุมนุม ร้านอาหาร หาบเร่ แผงลอยก็ค่อยๆ ผุดขึ้นตามกฎอุปสงค์-อุปทาน ตามมาด้วยร้านขายสินค้าประเภท Mob Product Design ตั้งแต่ของพื้นฐานทั่วไปอย่างผ้าพันคอ สายรัดข้อมือ ผ้าโพกหัว จนพัฒนารูปแบบหลากหลายยิ่งขึ้นเป็นเสื้อผ้าลวดลายต่างๆ ประกาศนียบัตร วีซีดีบันทึกภาพเหตุการณ์ โปสเตอร์ บริการโหลดริงโทนกู้ชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘มือตบสยบมาร’ สินค้ายอดฮิต

เตรียมตัวก่อนเดินทาง

สำหรับคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ ไม่มีอะไรต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ ส่วนคนที่อยู่ต่างจังหวัดก็ทำตัวปกติเหมือนเวลาเข้ากรุงนั่นแหละ อาจจะมีเงื่อนไขเล็กๆ ว่าไม่ควรสวมใส่เสื้อสีแดง

การเดินทางค่อนข้างสะดวก เพราะมีรถเมล์หลายสายผ่าน ทั้งผ่านใกล้ และผ่านไกล โทร. สอบถามได้ที่ 184 (ถ้ามีคนรับ) หรือสามารถใช้บริการรถแท็กซี่ซึ่งสะดวกกว่า แต่เสียค่าใช้จ่ายสูงกว่า และอาจต้องอธิบาย ต่อล้อต่อเถียง ขึ้นเสียง หรือถูกไล่ลง เป็นรสชาติให้กับชีวิต (ควรบอกแท็กซี่ว่าต้องไปทำธุระแถวนั้น)
สำหรับคนที่ไม่เคยไปม็อบพันธมิตรฯ มาก่อนในชีวิต ขอแนะนำให้ตั้งต้นที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยเดินเลาะไปตามกำแพงทำเนียบฯ

ถนนโดยรอบมีร้านอาหาร ร้านค้าของที่ระลึกมากมายให้จับจ่ายซื้อหา วางขายกันเป็นแนวยาว เรียกว่าเกือบจะรอบทำเนียบฯ เริ่มต้นจากบริเวณสะพานมัฆวานฯ จนถึงประตูใหญ่หน้าทำเนียบฯ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยืดลวดลายต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพันธมิตรฯ หรือเสื้อทั่วๆ ไป พรม เหรียญพันธมิตรฯ (มีบริการเลี่ยมกรอบหรือทำเป็นพวงกุญแจ) ประกาศนียบัตรจบการศึกษาของมหาวิทยาลัยราชดำเนิน หรือบริเวณสี่แยกมิสกวันก็มีบริการรับโหลดริงโทนกู้ชาติ รูปภาพ รูปถ่าย วีซีดีบันทึกเหตุการณ์ ฯลฯ

ถ้าเดินมากแล้วรู้สึกเมื่อยแข้งเมื่อยขา อยากจะผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ไม่ต้องกังวล เพราะมีบริการนวดเท้า จับเส้น กระจายอยู่หลายจุด สามารถเลือกรับบริการได้ตามสะดวก

แต่ถ้าใครต้องการชมศิลปะการเมือง ทั้งของศิลปินและของประชาชนผู้เข้าร่วมก็สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องใช้วิธีเดินดู เดินหา เดินชมเอาเอง เนื่องจากไม่มีจุดแสดงงานใหญ่ แต่จะจัดกระจายทั่วไปรอบๆ ทำเนียบฯ

หรือถ้าใครสนใจวิถีชีวิตชาวม็อบจากหลากหลายภูมิภาค คุณก็เดินชมได้ทั่วไป การตั้งที่พัก การใช้ชีวิตกินนอนแบบชาวม็อบปักหลักเป็นอย่างไร บางทีถ้าคุณเป็นชาวต่างจังหวัดที่เข้ามาดิ้นรนในบางกอก คุณอาจจะเจอญาติร่วมจังหวัดของคุณ เช่น พันธมิตรฯ ชลบุรีจะมีเต็นท์ใหญ่อยู่ที่หน้าประตูหนึ่งของทำเนียบ ใกล้กันก็เป็นเต็นท์ของพี่น้องบางสะพาน เป็นต้น

ถ้าคุณไม่เคยเห็นทำเนียบรัฐบาลแบบใกล้ชิด ไม่เคยเอามือแตะๆ ตัวอาคารของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ไม่เคยดมกลิ่นทำเนียบฯ ที่ที่ผู้บริหารประเทศใช้เป็นสถานที่แบ่งสรรผลประโยชน์ นี่ถือเป็นโอกาสดีครั้งหนึ่งในชีวิต

เพราะคุณสามารถเดินชมสถาปัตยกรรมอันงดงามของทำเนียบรัฐบาลได้อย่าง แนบชิดและถ้วนทั่ว (ยกเว้นภายในตัวอาคาร) จับได้ ดมได้ หรือถ้าใครอยากจะลองหยุดฟังการไฮปาร์กหรือการแสดงดนตรีบนเวทีก็จับจองที่ นั่งได้ตามสะดวก หรือถ้าไม่อยากฟังก็เดินต่อไป

สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์

สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่ม็อบพันธมิตรฯ 2 แห่งที่ถ้าคุณมีโอกาสก็ควรจะแวะไปกราบไหว้ขอพรคือ พระเจ้าตากสินตั้งอยู่หน้าเต็นท์พันธมิตรฯ ชลบุรี หน้าประตูหนึ่งของทำเนียบฯ เป็นสถานที่ที่ชาวม็อบพันธมิตรฯ ให้ความเคารพสักการะ แวะเวียนมากราบไหว้มิขาดสาย

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งที่ 2 คือเต็นท์หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด พระเกจิผู้เป็นที่นับถือของคนใต้ เต็นท์ดังกล่าวตั้งอยู่ด้านหน้าของนักรบศรีวิชัย ถ้าคุณเดินเข้าประตูหนึ่งของทำเนียบฯ แล้วให้เลี้ยวซ้ายแล้วเดินไปเรื่อยก็จะพบ

มินิคอนเสิร์ต

ส่วนคอเพลงเพื่อชีวิต เอื่อยเฉื่อยบนถนนพิษณุโลกมุ่งหน้าสู่ทำเนียบฯ สังเกตทางขวามือ คุณจะพบเครือข่ายศิลปินฯ แสดงมินิคอนเสิร์ตในช่วงเย็น แวะชม แวะฟัง และร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือศิลปินตี๋ได้ที่นั่น

นาข้าวกลางทำเนียบฯ

ณ สนามหน้าตึกไทยคู่ฟ้า มีการทำนาข้าวสาธิต คุณอาจแวะเข้าไปเยี่ยมชม ถามไถ่วิธีการทำนาและชีวิตขื่นๆ ของชาวนาไทย ที่แสนโชคดีเพราะมีรัฐมนตรีพาณิชย์ที่จ้องแต่จะจำนำข้าวท่าเดียวได้ที่นั่น

พักชิมริมทาง

การมาม็อบพันธมิตรฯ ไม่ต้องกลัวว่าจะอดอยาก เพราะมีอาหารอร่อยๆ ให้เลือกชิมจนพุงกาง เราขอแนะนำสักสองสามที่ดังนี้

-โรงบุญพันธมิตรฯ อาหารมังสวิรัติอร่อยๆ มีให้ชิม ที่สำคัญฟรี

-อาหารแจกฟรีจากแม่ยก อันนี้ถ้าอยากชิมฟรีต้องใช้การสังเกตเอาเอง แต่หาไม่ยาก เพราะส่วนใหญ่แล้วจะมีผู้คนต่อแถวคับคั่ง

3 ร้านอาหารต่อไปนี้อยู่บริเวณแยกมิสกวันหัวมุมถนนพิษณุโลก

-ร้านข้าวแกงปักษ์ใต้นครศรีธรรมราชรสจัดจ้าน ราคาย่อมเยา อาหารหลากหลายให้เลือก มีน้ำบริการฟรี

-ร้านเบอร์เกอร์ไก่ ปลา ของพี่น้องมุสลิม

-ร้านโรตี โซลวาเนีย สังเกตง่ายเพราะเต็นท์สีเหลืองและมักจะมีผู้คนรอคิวกันอยู่แน่นหน้าร้านเป็น ประจำ มีเมนูอาหารอิสลามหลายอย่าง โรตีหน้าต่างๆ รวมถึงข้าวหมกไก่







ขอให้สนุกกับการท่องเที่ยว และเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ

**************

เรื่อง-กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล

Wednesday, October 29, 2008

พันธมิตรเหยื่อระเบิดสัตว์นรกโคม่า1ราย โอกาสเสียชีวิตสูง!

ผอ.รพ.วชิระเผย มีพันธมิตรเหยื่อระเบิดสัตว์นรกถูกลำเลียงส่งเข้ารับการรักษา 6 ราย ระบุมี 2 รายอาการสาหัส โดยเฉพาะ "เสถียร ทับมะลิผล" ที่มีแผลถูกสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะด้านซ้ายนั้น อาการโคม่า และมีโอกาสจะเสียชีวิตสูง

จากกรณีที่เมื่อช่วงเวลา 03.20 น. ที่ผ่านมา เกิดเหตุชายฉกรรจ์ 2 คน ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาจอดอยู่ที่เชิงสะพานมัฆวาน จากนั้นได้ขว้างวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดเข้าใส่การ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย ทำให้เกิดเสียงดังสนั่น ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก และต้องนำส่งโรงพยาบาลวชิระ โดยด่วนจำนวน 6 ราย

ล่าสุด วันนี้ (30 ต.ค.) เวลาประมาณ 10.00 น. นายชัยวัน เจริญโชคทวี ผอ.รพ.วชิระ เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าว ได้มีผู้ถูกส่งมารักษาตัวจำนวน 6 คน ได้แก่

1. นายราชันต์ จันทร์ปลูก มีอาการแผลฉีกขาดที่หัวเข่า,ข้อเท้าซ้าย 3 เซ็นติเมตร

2. นายจีระศักดิ์ อินทรีย์ แผลถูกสะเก็ดระเบิดที่คอด้านขวา

3. นายสงกรานต์ คำด้วง แผลถูกสะเก็ดระเบิดต้นขาขวา

4. นายปัญญา กติกา แผลถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณศีรษะ หลัง แผลฉีกขาดที่ศีรษะ

5. นายทศพร สุขอิ่มใจ แผลรูเจาะข้อเท้าซ้าย

6.นายเสถียร ทับมะลิผล แผลถูกสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะด้านซ้าย

ซึ่งในจำนวนดังกล่าว มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คือนายจีระศักดิ์และนายเสถียร ซึ่งทั้งคู่ได้รับการผ่าตัดแล้ว โดยผอ.รพวชิระระบุว่านายเสถียรมีอาการโคม่า โอกาสเสียชีวิตมีค่อนข้างสูง ส่วนที่เหลือ 4 คนเดินทางกลับบ้านแล้ว

จากนั้นเมื่อเวลา 10.20 น. นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. ได้เดินทางมาเยี่ยมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 ราย ที่มีอาการสาหัสจากเหตุการณ์เมื่อช่วงตีสามที่ผ่านมา โดยได้เปิดเผยภายหลังการเยี่ยมผู้ป่วยว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้ปลัดกทม.และผอ.เขตทั้ง 5 เขต บริเวณเกิดและใกล้เคียง สำนักการแพทย์ สำนักอนามัย เทศกิจ สำนักบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวห้อง ให้มีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด 24 ชม. เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้อีก

นอกจากนี้ทางกทม.จะประสานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเร่งรัดให้สืบหาสาเหตุว่าเป็นฝีมือของใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีแนวทางป้องกันอย่างไร โดยกทม.มีแผนจะติดกล้อง CCTV เพื่อใช้เป็นหลักฐานหากมีคนร้ายหรือผู้ที่ก่อความไม่สงบเข้ามาทำร้ายประชาชน จะได้ใช้เป็นหลักฐานเพื่อดำเนินคดี
นายอภิรักษ์กล่าวต่อไปอีกว่า สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ไม่ดีนัก เศรษฐกิจไม่ค่อยดี อยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้ามาเจรจากัน ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง เพราะผู้ที่จะได้รับผลกระทบก็คือประชาชนหรือคนไทยด้วยกัน พร้อมทั้งย้ำอีกว่า จะจัดกำลังเฝ้าระวังเหตุการณ์ฉุกเฉิน 24 ชั่วโมงให้มากขึ้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุรุนแรง และเชื่อว่าเมื่อมีเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้ ตำรวจคงไม่นิ่งเฉย และต้องเข้ามาดูแลความปลอดภัย หรือจัดการผู้ที่ทำร้ายประชาชน

ด้าน น.ส.ทิพวัลย์ ทับมะลิผล ลูกสาวของนายเสถียร ผู้บาดเจ็บโคม่า กล่าวว่าทราบข่าวว่าพ่อได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อคืนนี้ และได้มาเยี่ยมมาดูแลอาการ และทราบว่าอาการของพ่อไม่ดีเลย อยู่ในข้นที่ไม่ปลอดภัย รู้สึกเสียใจเพราะพ่อเป็นเสาหลักของบ้าน และไม่อยากให้พ่อเป็นอะไร ขอภาวนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายขอให้พ่อหายจากอาการบาดเจ็บในครั้งนี้


พร้อมทั้งกล่าวต่อไปอีกว่า ก่อนหน้านี้ครอบครัวได้มีการคัดค้านท้วงติงนายเสถียรไม่ให้มาร่วมชุมนุม พันธมิตรเพราะเห็นว่าสถานการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา มีการใช้ความรุนแรง แต่นายเสถียรก็กล่าวกับครอบครัวว่าจะออกไปธุระ จนกระทั่งทางโรงพยาบาลได้ติดต่อไปยังครอบครัว จึงรู้ว่าพ่อไปรวมกลุ่มกับพันธมิตร


อย่าง ไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ทิพวัลย์ได้ชูกระเป๋าเป้สีเนื้อเปื้อนคราบเลือดของนายเสถียร ที่โรงพยาบาลเก็บไว้ให้ แก่ผู้สื่อข่าว พร้อมทั้งร้องไห้ และกล่าวว่าขอให้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ขออย่าให้มีการทำร้ายกันอีกเลย

จม.พันธมิตรฯ ถึงสถานทูตอังกฤษ


(คำแปล)
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย



จดหมาย กราบเรียน ฯพณฯ นายควินตัน มาร์ค เควลย์ เอกราชทูตแห่งสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย เพื่อให้ส่งตัวนักโทษหนีอาญาแผ่นดิน ทักษิณ และพจมาน ชินวัตร

วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ฯพณฯ ควินตัน มาร์ค เควลย์
เอกอัครราชทูตแห่งสหราชอาณาจักร
ประเทศไทย, กรุงเทพมหานคร, สถานทูตอังกฤษ
14 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพ 10330

เรา, พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เชื่อว่ารัฐบาลของท่าน จะได้กระทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่ได้ยินยอมให้อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พร้อมด้วยภรรยา, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ลี้ภัยอยู่ในสหราชอาณาจักร เราขอให้ ฯพณฯ ได้ส่งผ่านจดหมายฉบับนี้ไปยังนายกรัฐมนตรี นายกอร์ดอน บราวน์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสหราชอาณาจักร เพื่อนำไปพิจารณาตัดสินใจอย่างรอบคอบ

อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อ้างว่าคำตัดสินจำคุกตัวเขานั้นไม่ได้อยู่บนหลักเหตุผลและมีแรงจูงใจทางการ เมืองโดยกลุ่มที่เป็นศัตรูต่อประชาธิปไตย

จากคำตัดสินของกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย พบว่าเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ฝ่าฝืนกฎหมายในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในการช่วยเหลือคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยาของตัวเองในการซื้อที่ดินจากหน่วยงานของรัฐในราคาเพียง 1 ใน สามของราคาตลาดและได้ถูกพิพากษาให้จำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ระบุในคำพิพากษาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กระทำความผิดต่อมาตรา 100 ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี

ศาลได้ระบุว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับความไว้วางใจให้บริหารประเทศ ต้องทำเพื่อผลประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศและประชาชน แต่กลับไปกระทำผิดกฎหมายเสียเอง ในฐานะที่เป็นผู้นำรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชิวัตรควรเป็นตัวอย่างที่ดี ซื่อสัตย์สุจริต และประพฤติตนด้วยจริยธรรมทางการเมือง

การตัดสินในกรณีของที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก คือคดีแรกที่ในหลายคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้ถูกฟ้องร้องในกระบวนการยุติธรรม สำหรับคดีอื่นๆนั้นศาลฎีกาได้รับคดีเอาไว้พิจารณาแล้ว ดังเช่น คดีการออกสลากพิเศษ 2 ตัว 3 ตัว ของรัฐบาลที่กระทำมิชอบด้วยกฎหมาย คดีการปล่อยสินเชื่อกว่า 4 พันล้านบาทของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยให้รัฐบาลทหารของ พม่าเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของครอบครัวชินวัตร คดีการแก้ไขนโยบายทางภาษีเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจในเครือ (ชิน คอร์ปอเรชั่น) และคดีการปกปิดทรัพย์สิน

นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ศาลอาญาได้พิพากษาคุณหญิง พจมาน ชินวัตร, พี่ชาย และเลขานุการ ให้จำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญาในกรณีการหลบเลี่ยงภาษีในการซื้อขายหุ้นมูลค่ากว่า 546 ล้านบาท และปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งในการอ่านคำพิพากษานั้น ศาลอาญาได้ระบุว่า คุณหญิงพจมาน ชินวัตร มีฐานะที่ดี อยู่ในสังคมชั้นสูง และมีสถานภาพทางการเมืองในฐานะเป็นภริยาของนายกรัฐมนตรี จึงควรกระทำให้เป็นตัวอย่างแก่สังคม

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กล่าวอ้างในคำขอลี้ภัยว่าเขาไม่ได้รับคำตัดสินอย่างเป็นธรรมในประเทศไทย ทั้งๆที่เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2551 ศาลฎีกาได้ตัดสินทีมทนายของทักษิณ 3 คนให้ได้รับโทษจำคุก 6 เดือน โทษฐานละเมิดอำนาจศาลในการติดสินบนเจ้าหน้าที่ศาลระดับซี 7 โดยการนำส่งเป็นกล่องขนมที่บรรจุเงินจำนวน 2 ล้านบาท ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอ้างว่ากระบวนการยุติธรรมไม่มีความเป็นธรรม ทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรกลับยื่นฟ้องร้องคดีความต่างๆต่อศาลไทยต่อไป

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อ้างว่า ประชาชนที่ออกมาต่อต้านเขานั้นคือกลุ่มที่ไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตย ในขณะที่พรรคไทยรักไทยได้ถูกยุบพรรคเพราะกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเมื่อเดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2550 กรรมการบริหารพรรค 111 คนซึ่งรวมถึง นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ถูกเพิกถอนสิทธิในการเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี แม้กระทั่งพรรคได้ถูกยุบไปแล้วแต่ทุกอย่างก็กลับมีความสลับซับซ้อนขึ้นยิ่ง กว่าเดิมหลายเท่า

ตัวอย่างเช่น พรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่พรรคไทยรักไทยของทักษิณตั้งขึ้นมาใหม่ ได้คุมเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร และจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ แต่รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร กลับถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานโกงการเลือกตั้ง ซึ่งนายยงยุทธ ติยะไพรัช ได้ถูกจับจากการบันทึกวีดีโอพบว่าได้จ่ายเงินให้กับกำนันหลายราย รายละ 20,000 บาท เพื่อจูงใช้ให้คนเหล่านั้นลงคะแนนและหาเสียงเพื่อรณรงค์ให้มีการเลือกตั้งใน พื้นที่เขตเลือกตั้ง

ปัจจุบันน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้ใกล้ชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงดำรงตำแหน่งในรัฐบาล ตำแหน่งข้าราชการ และควบคุมธุรกิจที่สำคัญหลายแห่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศไทยและเป็นผู้ที่ทรงอำนาจที่สุด อย่างไรก็ตามเขากล่าวอ้างว่า “อภิสิทธิชนชั้นสูง” คือผู้ที่ได้ดำเนินการทำลายตัวเขา ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็คือผู้นำของกลุ่มอภิสิทธิ์ชนชั้นสูงจำนวนมาก ควบคุมและครอบงำประเทศไทยเสียมากว่า

ประเทศไทย และสหราชอาณาจักร ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอย่างยาวนานในทุกระดับและทุกมิติ ประเทศของเราทั้งสองไม่ควรที่จะยินยอมให้เรื่องส่วนตัวของคนๆหนึ่งให้มากระ ทบความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรไม่ควรที่จะนำผลประโยชน์ นำโอกาสที่จะขยายความร่วมมือกับประเทศไทย ไปแลกกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะต้องถูกนำตัวส่งกับมาประเทศไทย ไม่ใช่เพียงเพื่อมาต่อสู้คดีความในชั้นศาลฎีการตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญยิ่งไปกว่าที่จะช่วยทำให้กระบวนการยุติธรรมของประเทศมี อนาคตที่มั่นคง การตัดสินใจที่ผิดพลาดในส่วนของรัฐบาลและกระบวนการยุติธรรมของสหราชอาณาจักร จะทำให้การทำงานในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยประสบกับความยากลำบากเป็น อย่างยิ่ง

เรา, พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอเรียกร้องให้ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร นักโทษหนีอาญาแผ่นดินจากสหราชอาณาจักรเพื่อมารับโทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา ใช้เวลาในคุกและปรากฏตัวต่อศาลเพื่อต่อสู้ในคดีอื่นๆ ต่อไป

ขอความกรุณาให้ขับไล่พวกเขาให้ออกจากสหราชอาณาจักร และส่งตัวผู้ร้ายหนีอาญาแผ่นดินกลับมาประเทศไทย

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

People’s Alliance for Democracy (PAD)


Letter to His Excellency Mr. Quinton Mark Quayle, United Kingdom Ambassador to Thailand on the extradition of Thaksin and Pojamarn Shinawatra

October 30, 2008

His Excellency Quinton Mark Quayle
Ambassador of the United Kingdom
Thailand, Bangkok, British Embassy
14 Wireless Road
Lumpini, Pathumwan
Bangkok 10330

We, the People’s Alliance for Democracy, believe your government will be making a grave mistake by allowing former Prime Minister Thaksin Shinawatra and his wife, Pojamarn Shinawatra, asylum in the United Kingdom. We ask that you forward this letter to Prime Minister Gordon Brown and Members of Parliament in the UK and consider your decision carefully.

Ex-Prime Minister Thaksin Shinawatra claims the charges against him are unfounded and politically motivated by “enemies of democracy”.

In a landmark ruling on October 21, 2008, he was found to have violated conflicts of interest rules in helping his wife Khunying Pojamam Shinawatra buy land from a state agency at three thirds the market price and sentenced to two years in jail. According to the Thai Supreme Court’s Criminal Division for Political Office Holders, Thaksin was found guilty of breaching Article 100 of the National Counter Corruption Act by aiding his wife in 2003 while he was still Prime Minister.

The court stated that as Thai Prime Minister, Thaksin had been entrusted to administer the state for the highest benefit of the state and the people, but instead chose to break the law. As the head of government, he should have set a good example, been honest, and behaved with good political ethics.

The Ratchapisek land ruling is the first in a series of cases against Thaksin Shinawatra. Other cases still pending in the Thai Supreme Court are abuse of power allegations linked to a two and three digit government lottery scheme, abuse of power related to irregularities in a 4 billion baht loan given by state controlled Export Import Bank of Thailand to the military government of Burma which alleged to have benefited his family business, and amending tax policies to enrich his business empire (Shin Corporation), as well as concealing assets.

In addition, on July 31, 2008 the Criminal Court sentenced Pojamarn Shinawatra to 3 years in prison for tax evasion over a 546 million baht transaction, and falsifying statemen

พันธมิตรฯ เคลื่อนพลบี้สถานทูตผู้ดีส่ง "น.ช.แม้ว" รับโทษ

วันนี้(30 ต.ค.)ประมวลภาพพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมใจสวมใส่เสื้อสีเหลืองเรือนหมื่น เคลื่อนพลไปยังหน้าสถานทูตอังกฤษ ประจำประเทศไทย พร้อมอุปกรณ์การเชียร์ครบมือ และมีการนำป้ายผ้าสีขาว สกรีนข้อความเป็นภาษาอังกฤษ ขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกลับประเทศไทย โดยมี ฯพณฯ นายควินตัน มาร์ค เควลย์ เอกราชทูตแห่งสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ออกมารับหนังสือร้องเรียนด้วยตนเอง
ทั้งนี้ได้นำรถขยายเสียงขนาดใหญ่หลายคันมาจอดขวางไว้บริเวณด้านหน้า สถานทูตอังกฤษ และผู้ชุมนุมลงยืนเต็มถนนวิทยุ เป็นเหตุให้การจราจรบริเวณถนนวิทยุ ตั้งแต่ช่วงแยกเพลินจิต ติดขัดเป็นทางยาว จนเจ้าหน้าที่ต้องปิดการจราจรบริเวณถนนวิทยุเป็นการชั่วคราว จนกว่าการชุมนุมจะแล้วเสร็จ ซึ่งขณะนี้มีการปราศรัยบนรถขยายเสียงจากตัวแทนพันธมิตรฯ เพื่อปลุกขวัญกำลังใจของผู้ชุมนุม

ลอบปาบึ้มใส่พันธมิตรบาดเจ็บเพียบ

เวลา 03.20 น. ชายฉกรรจ์ 2 คน ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาจอดอยู่ที่เชิงสะพานมัฆวาน จากนั้นได้ขว้างวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดเข้าใส่การ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย ทำให้เกิดเสียงดังสนั่น ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก และต้องนำส่งโรงพยาบาลวชิระ โดยด่วนจำนวน 6 ราย

เวลา 03.25 น. ชายฉกรรจ์จำนวน 4-5 คน สวมชุดดำ ปีนข้ามรั้วกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาด สาดกระสุนจำนวนหลายสิบนัดเข้าใส่พันธมิตรฯ

เวลา 04.30 น. ร.ต.อ.ป้อมเพ็ชร โชติกลาง ร้อยเวร สน.นางเลิ้ง ได้เดินทางเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุที่สะพานมัฆวาน โดยได้ขึงเชือกกั้นบริเวณจุดเกิดเหตุ เพื่อกันไม่ให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าไปในบริเวณดังกล่าว จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าแรงระเบิดทำให้เกิดหลุมลึกกว่า 3 ซม. กว้าง 5 ซม.

เวลา 05.05 น. พ.ต.อ.วิบูลยุทธ สันทัดเวช ผู้กำกับ สน.นางเลิ้ง ได้เดินทางเข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง โดยมีเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด เข้าตรวจสอบพื้นที่เพื่อค้นหาวัตถุระเบิดที่อาจยังหลงเหลืออยู่ พร้อมหาชิ้นส่วนระเบิด เพื่อนำไปเป็นหลักฐานในการตามล่าตัวคนร้ายโดยเร่งด่วน
เวลา 06.30 น. หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าเคลียร์พื้นที่ซึ่งโดนคนร้ายลอบขว้าง ระเบิดแล้ว พบชายไทยอายุประมาณ 20 ปี ผิวขาว สวมเสื้อยืดสีดำ ใส่กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน สวมรองเท้าแตะพื้นสีแดง นอนคว่ำหน้าเสียชีวิตใต้โคนต้นมะขาม บริเวณหลัง บชน. ซึ่งห่างจากแนวกั้นของพันธมิตรฯ ประมาณ 150 เมตร จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ชายคนดังกล่าวถูกกระสุนปืนเข้าที่บริเวณท้ายทอยจนผู้เสียชีวิตในเวลาต่อมา
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

พันธมิตร ปะทะ นปก 7

พันธมิตร ปะทะ นปก 6

พันธมิตร ปะทะ นปก 5

พันธมิตร ปะทะ นปก 4

พันธมิตร ปะทะ นปก 3

พันธมิตร ปะทะ นปก 2

พันธมิตร ปะทะ นปก 1

7 ตุลาทมิฬ กับวิธีการเจรจาด้วย ลูกระเบิด ของ พ.ต.อ.ลือชัย สุดยอด

วันที่ 7 ตุลาคม 2551 ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวของนายตำรวจผู้หนึ่งที่ใส่ “ชุดหมี” หรือชุดปฏิบัติการคลุมทั้งตัวและศีรษะ ขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบริเวณถนนรอบ รัฐสภาอย่างเมามันนั้นติดตาผู้คนจำนวนมากที่ได้พบเห็นและชมภาพเหตุการณ์ดัง กล่าว เพราะภาพดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายและป่าเถื่อน เนื่องจากนายตำรวจผู้นี้นั้นใช้โล่ของเจ้าหน้าที่ผู้อื่นเป็นกำบัง และเมื่อสบโอกาสก็วิ่งออกจากแนวโล่เพื่อขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ ปราศจากอาวุธเป็นระยะ

ทั้งนี้ในเวลาต่อมาได้มีผู้ออกมาเปิดเผยว่า “นายตำรวจในชุดหมี” นั้นจริงๆ แล้ว มีนามว่า ลือชัย สุดยอด ซึ่งปัจจุบันมียศเป็น พันตำรวจเอก และดำรงตำแหน่ง รองผู้บังคับการกองบังคับการ ตำรวจปฏิบัติการพิเศษ (รองผบก. ตปพ) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกยกย่องจากสื่อว่าเป็น “ตำรวจน้ำดี” เป็น “The Negotiator” หรือ “นักเจรจาต่อรองประกันตัว”
พ.ต.อ.ลือชัย สุดยอด เกิดเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2500 ปัจจุบันอายุ 51 ปี จบการศึกษาจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ และเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 33 ทั้งยังมีคุณวุฒิเพิ่มเติมเป็น ปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์ (พ.ศ. 2522) และ ประกาศนียบัตรการต่อต้านการก่อการร้ายจากหน่วยสวาท ประเทศสหรัฐอเมริกา หน่วยตระเวนชายแดน ณ ประเทศเยอรมันตะวันตก (พ.ศ.2528) และผ่านหลักสูตร รร.ผกก.รุ่นที่ 35 จาก สบพ. (พ.ศ.2534)

ในด้านการทำงาน พ.ต.อ.ลือชัย เคยดำรงตำแหน่ง รอง สว.ส. สน.พระโขนง, รอง สว.ส. สน.จระเข้น้อย, ผบ.ร้อย 5 กก.ปจ.บก.สปพ., ผกก.ปจ.บก.สปพ., ผกก.กก.2 (ป้องกันปราบปรามจลาจล) บก.ตร.ปฏิบัติการพิเศษ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงหน่วยอรินทราช ๒๖

ระหว่างการเป็น ผู้บังคับบัญชาของหน่วยอรินทราช ๒๖ พ.ต.อ.ลือชัย ถือว่ามีชื่อเสียงมาก เนื่องจากเป็นนักเจรจาต่อรองในเหตุการณ์การจี้ตัวประกัน เหตุการณ์โล้นซ่าควงปืนอาก้าบุกสภา เหตุการณ์ปล้นแล้วจับตัวประกัน เหตุการณ์เจรจาต่อรองกับคนเสียสติ เหตุการณ์คนฆ่าตัวตาย
“เมื่อมีเหตุการณ์จับตัวประกัน เกิดขึ้นในท้องที่ต่างๆ ผมซึ่งประจำในหน่วยอรินทราช ๒๖ มาตั้งแต่ยังเป็นเพียงแค่ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ได้มีโอกาสเข้าไปทำหน้าที่ใน การเจรจาเกลี้ยกล่อมผู้ก่อเหตุอยู่บ่อยครั้ง นอกจากนั้นก็ยังสามารถเจรจาช่วยให้ตัวประกันปลอดภัยจากเหตุการณ์ต่างๆ ได้ มันเลยกลายเป็นผลงานติดตัวเราไปโดยปริยาย ทุกครั้งที่มีการจับตัวประกันไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ผู้บังคับบัญชาก็มักจะเรียกใช้หน่วยของผมเข้าไปปฏิบัติหน้าที่โดยเร็วทันที การเจรจาต่อรองที่ผมทำในแต่ละครั้ง ผมเต็มใจที่จะทำทุกครั้ง และก็มักจะได้ทำต่อเนื่องมาโดยตลอด จนกลายเป็นว่าถ้ามีการเรียกหน่วยของเราไปเมื่อไร ผมก็จะขออาสาเป็นคนทำหน้าที่เจรจาต่อรองตัวประกันเองแทบจะทุกครั้ง” พ.ต.อ.ลือชัยเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสารฉบับหนึ่ง

อย่างไรก็ดีเป็นที่ทราบกันดีในแวดวงตำรวจว่า พ.ต.อ.ลือชัย นั้นค่อนข้างจะชอบโชว์ออฟออกทางหน้าจอ หน้าหนังสือพิมพ์ โดยในช่วงปี 2549-2550 มีโอกาสได้เสนอหน้าตามสื่อต่างๆ มากมาย เช่น รายการ เจาะใจ พฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 หนังสือพิมพ์ และนิตยสารต่างๆ หลายเล่ม รวมทั้งเป็นผู้สาธิตการใช้กระสุนยางจากอาวุธปืนให้สื่อมวลชนชมเสมอ
ทั้ง นี้การโชว์ออฟผ่านสื่อสารมวลชนของ พ.ต.อ.ลือชัย สุดยอด ครั้งล่าสุดนั้น เป็นการปรากฏตัวในฐานะ “มือระเบิด” มากกว่าในคราบของ “นักเจรจาลิ้นทอง” อย่างที่เคยเป็นมา เพราะ ภาพหลักฐานตามหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์หลายช่องปรากฏเป็นหลักฐานที่มัด ตัวและชี้ชัดว่า ณ วันนี้ พ.ต.อ.ลือชัย นิยมการเจรจาด้วย “ลูกระเบิด” มากกว่า “ลิ้น” ที่เขาเคยบอกว่าถนัดนักหนา

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

พันธมิตรฯ บุกวัดบางละมุง ดูปูนปั้น ทักษิณ



ศูนย์ข่าวศรีราชา - พันธมิตรฯ จังหวัดชลบุรีและใกล้เคียงหลายพันคนแห่ไปดูรูปปั้น “ทักษิณ” และบุคคลสำคัญ ที่วัดบางละมุง พร้อมจี้ให้วัดและหน่วยงานที่รับผิดชอบรื้อออกโดยด่วน หากล่าช้ากลุ่มพันธมิตรฯ จะร่วมมือกันรื้ออกให้ ด้านอำเภอเตรียมตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องดังกล่าวจะดำเนินการอย่างไร

วันนี้ (29 ต.ค.) ตั้งแต่เวลา 08.00 น.ที่บริเวณวัดบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี กลุ่มพันธมิตรฯ จังหวัดชลบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง ได้ทยอยเดินทางมาเพื่อดูรูปปูนปั้น “หน้าทักษิณ ชินวัตร” และบุคคลสำคัญทางการเมือง ที่สำคัญยังมีรูปปั้นหน้าคล้ายบุคคลสำคัญของประเทศ ที่ประชาชนเคารพนับถืออยู่ที่ใต้ฐานพระประธานด้วย

ทั้งนี้ พันธมิตรฯ ที่ทยอยเดินทางเข้ามาในวัดอย่างต่อเนื่องจนแน่นวัด พร้อมเข้าไปดูรูปปั้นใต้ฐานพระประธานในโบสถ์ ต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมในการกระทำครั้งนี้ และถือว่าดูหมิ่นผู้ที่ประชาชนเคารพนับถือเป็นอย่างมาก และให้ทางวัดหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบรีบดำเนินการรื้อออกโดยด่วน

ด้าน นางสุมาลี ศิริสะอาด พันธมิตรฯ จังหวัดชลบุรี กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ในช่วงแรกที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ พูดบนเวทีนั้นตนยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร จึงได้เดินทางมาดูด้วยตาตนเอง และเมื่อพบเห็นรูปดังกล่าวรู้สึกตกใจมาก ไม่นึกว่าจะมีการกระทำเช่นนี้เกิดขึ้น และควรจะต้องรีบดำเนินการรื้อออกไปโดยด่วน เพราะเป็นการกระทำดูหมิ่นและไม่เคารพเป็นอย่างมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้บรรยากาศภายในวัดมีกลุ่มพันธมิตรฯ เดินทางมาดูรูปดังกล่าวจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าจะมีพันธมิตรฯ เดินทางมาอย่างต่อเนื่องจากถึงช่วงเย็น คาดว่าไม่ต่ำกว่า 5,000-10,000 คนอย่างแน่นอน

ด้าน นายมงคล ธรรมกิตติคุณ นายอำเภอบางละมุง ได้เดินทางมาที่วัด พร้อมร่วมประชุมกับเจ้าคณะอำเภอบางละมุง เพื่อสอบถามถึงสาเหตุและรูปภาพดังกล่าวมีความเป็นมาอย่างไร ซึ่งได้รับคำตอบจาก นายสำรวย เอมโอด ช่างปูนปั้น ซึ่งได้โทรศัพท์ไปสอบถาม ที่จังหวัดเพชรบุรี ที่ปั้นรูปต่างๆ ขึ้นมาว่า วัดให้อิสระในการปั้นโดยตนต้องการสื่อให้เห็นว่า ในช่วงที่กระทำนั้นใครมีความสำคัญบ้าง เช่น ในช่วงยุค พ.ต.ท.ทักษิณ, ฝ่ายค้าน นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นายสนธยา คุณปลื้ม และดารา ตลกหม่ำ จ๊กมก

ส่วนที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวถึงเมื่อคืนวันที่ 28 ต.ค 51 บนเวทีนั้นได้รับการชี้แจง จากนายสำรวย ว่าเป็นนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.ฝ่ายค้าน โดยการแต่งองค์ทรงเครื่องนั้น เนื่องจากนายบัญญัติ เป็นคนใต้ และจุดนั้นเป็นรูปแบบของมโนราห์

นายมงคล กล่าวต่อไปว่า เมื่อปัญหาเกิดขึ้นจะต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ต่อไป โดยมีฝ่ายอำเภอบางละมุง พระวัดบางละมุง และตัวแทนชาวบ้าน เพื่อร่วมกันปรึกษาหารือว่าจะทำอย่างไร จึงจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

ด้านพระลูกวัด กล่าวว่า สำหรับวัดแห่งนี้ไม่มีคณะกรรมการวัด และไม่มีมัฆทายก โดยทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่ที่เจ้าอาวาส ที่สำคัญเจ้าอาวาสยังชื่นชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นอย่างมาก และสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็อาจขึ้นอยู่กับความชอบเป็นการส่วนตัวของเจ้าอาวาส ด้วย

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

ภรรยา สารวัตรจ๊าบ ลั่นไม่รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลฆาตกร

บุรีรัมย์ - ภรรยา “สารวัตรจ๊าบ” วีรชนผู้กล้า 7 ตุลาทมิฬ ที่ถูกระเบิดเสียชีวิตในเหตุการณ์สลายชุมนุมโหดร้ายป่าเถื่อนของรัฐบาลทรราช “น้องเขยแม้ว” ที่หน้ารัฐสภา ยืนยันไม่รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลฆาตกร แต่ขอให้ออกมาแสดงรับผิดชอบและให้ความเป็นธรรมสามีที่ถูกยัดข้อหาพกพาระเบิด เผยนำเงินบริจาคของพันธมิตรฯ เก็บไว้ให้ลูกและจัดตั้งสถานีวิทยุชุมชนถ่ายทอดเสียง “ASTV” เปิดหูเปิดตาชาวบุรีรัมย์ สานต่อเจตนารมณ์สู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ของสามี

วันนี้ (29 ต.ค.) น.ส.เพ็ญพิมล ใสงาม ภรรยา พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี หรือ “สารวัตรจ๊าบ” ประธานกลุ่มยามเฝ้าแผ่นดินบุรีรัมย์, ผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.บุรีรัมย์ และหัวหน้าการ์ดพันธมิตรฯ ภาคอีสาน ที่ถูกระเบิดเสียชีวิตจากเหตุการณ์รัฐบาลสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภาเมื่อวัน ที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา เปิดเผยว่า ตนและครอบครัวขอยืนยันจะไม่รับเงินเยียวยาช่วยเหลือจากรัฐบาล หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุสลายการ ชุมนุมอย่างรุนแรงของรัฐบาลในเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา

แต่อยากให้รัฐบาลออกมาแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และให้ความเป็นธรรมกับสามีที่ถูกยัดเยียดข้อหาพกพาระเบิด ซึ่งเป็นข้อหาที่หนักไร้ความเป็นธรรมมากสำหรับสามีที่เสียชีวิตไปแล้ว จึงอยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่สามีและวงศ์ตระกูล และขอให้รัฐบาลยุติการกระทำความรุนแรงต่อกลุ่มผู้ชุมนุม เพราะจะส่งผลกระทบสร้างความเจ็บปวดให้กับครอบครัว ญาติพี่น้องอีกหลายชีวิตที่อยู่ข้างหลัง และไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะนำเงินที่ได้มาจากภาษีของประชาชนมาเยียวยาประชาชน กับกระทำอันโหดร้ายป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรมของรัฐบาลเอง
“ฉันจะสานต่อเจตนารมณ์ของสามีที่ได้สละชีวิตต่อสู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โดยจะนำเงินที่ทางกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรฯ บริจาคมาเก็บไว้ให้กับลูกๆ และบางส่วนจะนำมาจัดตั้งสถานีวิทยุชุมชนถ่ายทอดสัญญาณเสียงของสถานีโทรทัศน์ ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี เพื่อให้ประชาชนชาวบุรีรัมย์ได้รับฟังข้อมูลข่าวสารที่แท้จริง รวมทั้งความเคลื่อนไหวต่างๆ ในการต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมืองของประชาชนที่เกิดขึ้น” ภรรยาวีรชนผู้กล้า กล่าว
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

Tuesday, October 28, 2008

5 ครูฝึกอาวุโส บินไทย ยกพลหยุดสอน ประท้วงผู้บริหารแกล้ง กัปตันจักรี

ผู้จัดการออนไลน์ - 5 ครูฝึกนักบินอาวุโสการบินไทยอารยะขัดขืนด้วยการยกพลลาออกจากการเป็นครูสอน นักบิน หลัง “โสภิต โภคะสุวรรณ” ผอ.ฝ่ายบุคคลลุแก่อำนาจ บ้าจี้รับใช้รัฐบาลทรราชเล่นงาน กัปตันจักรี จงศิริ ที่หาญกล้า ไล่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน 3 ลงจากเครื่อง จากกรณี 7 ตุลาเลือด

รายงานข่าวจากบริษัท การบินไทย แจ้งว่า เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ที่ผ่านมา บรรดากัปตันอาวุโสที่ทำหน้าที่เป็นครูสอนนักบินของบริษัท (Instructor Pilot) รวมทั้งหมด 5 คน ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากการเป็นครูฝึกและสอนนักบิน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2551 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ในหนังสือขอลาออกกัปตันทั้งหมดให้เหตุผลว่า เนื่องจาก กัปตันโสภิต โภคะสุวรรณ ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายพัฒนาบุคลากรการบิน บริษัท การบินไทย มีคำสั่งให้กัปตันจักรี จงศิริ หยุดการสอนนักบินลูกศิษย์เป็นการชั่วคราว ทั้งๆ ที่ กัปตันจักรี ไม่ได้มีความผิดพลาดในเรื่องของการบินการสอนแต่อย่างใด โดยรายละเอียดในจดหมายฉบับดังกล่าวมีดังนี้

20 ตุลาคม 2551

เรื่อง ขอลาออกจากการเป็น INSTRUCTOR PILOT

เนื่องจาก DX มีคำสั่งให้ กัปตันจักรี จงศิริ หยุดการสอนนักบินลูกศิษย์เป็นการชั่วคราว (ตามเอกสารแนบ) ทั้งๆ ที่ กัปตันจักรี จงศิริ มิได้มีความความผิดพลาดในเรื่องของการบินการสอนแต่อย่างไร

กระผมจึงขอลาออกจากการเป็น INSTRUCTOR PILOT ทั้งนี้ ตั้งแต่ 1 พ.ย. 2551 เป็นต้นไป

จึงเรียนมาเพื่อดำเนินการ
ลงนาม
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2551 กัปตันโสภิต มีคำสั่งภายในให้กัปตันจักรี งดงานสอนนักบินลูกศิษย์ โดยอ้างว่า เพราะเหตุการณ์เรื่องความขัดแย้งระหว่างผู้โดยสารและนักบินของบริษัทกลาย เป็นประเด็นใหญ่ ซึ่งอาจสร้างความกดดันและกระทบกระเทือนงานสอนของกัปตันจักรี ครูการบิน 734 จึงขอให้งดงานสอนศิษย์เป็นการชั่วคราวจนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย

เหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มขึ้นหลังเหตุการณ์ตำรวจใช้อาวุธรุนแรงสลายผู้ ชุมนุมหน้ารัฐสภา 7 ตุลาคม 2551 จนมีผู้บาดเจ็บและล้มตาย วันรุ่งขึ้น 8 ตุลาคม2551 กัปตันจักรี ได้ปฏิเสธที่จะทำหน้าที่เป็นนักบินให้กับ ส.ส.พรรคพลังประชาชน 3 คน ที่ลุแก่อำนาจสั่งใช้ความรุนแรงกับประชาชน


ต่อมา ส.ส.พรรคพลังประชาชน ที่เป็นฝ่ายรัฐบาลแสดงความไม่พอใจการกระทำของกัปตันจักรี อย่างมาก ทั้งข่มขู่ด้วยวาจาและพยายามใช้อำนาจผ่านรัฐมนตรีคมนาคมให้บีบคณะกรรมการ บริษัท การบินไทย เล่นงาน กัปตันจักรี โดยสั่งให้มีการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยที่ กัปตันจักรี ชี้แจงถึงเรื่องความปลอดภัยของตัวผู้โดยสารที่เป็น ส.ส.พรรคพลังประชาชนเอง และผู้โดยสารผู้อื่นๆ แต่ก็ไม่เป็นผล กัปตันจักรี ถูกปลดออกจากนักบินลดตำแหน่งให้ทำหน้าที่เพียงเป็นผู้ช่วยนักบิน (Co-pilot) เท่านั้น

“เมื่อวันที่ 8 ตอนเช้านั้น ผมได้เห็นหนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงภาพผู้คนซึ่งเป็นคนไทยถูกทำร้ายด้วยอาวุธ ร่างกายฉีกขาด เลือดนองพื้น เป็นภาพซึ่งผมเห็นแล้วรู้สึกอนาถใจอย่างมากที่รัฐบาลโดยการนำของพรรคพลัง ประชาชน เข่นฆ่าประชาชน โดยคนในพรรคนี้เห็นดีเห็นงามต่อการกระทำกับประชาชน จิตใจของพวกท่านทำด้วยอะไร เพียงเพื่อต้องการที่จะไปอ่านนโยบายบริหารประเทศ ท่านก็ฆ่าฟันผู้คนเข้าไปอ่านนโยบายแล้ว ฉะนั้น ภายในนโยบายบริหารเหล่านั้น ท่านคงจะต้องฆ่าประชาชนคนไทยไปอีกกี่ศพ ท่านจึงจะบรรลุนโยบายการบริหารประเทศของท่าน

“ด้วยความคิดดังนั้น ผมเองจึงตัดสินใจที่จะไม่รับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากพรรคพลังประชาชน สาเหตุเพราะหนังสือพิมพ์ซึ่งมีภาพผู้คนที่ถูกเข่นฆ่าเหล่านั้น เมื่อผู้โดยสารท่านอื่นที่โดยสารไปในเที่ยวบินนั้นได้เห็นภาพและข่าว อาจเกิดบันดาลโทสะ ขาดการยับยั้ง ยกมารุมทำร้าย ส.ส.ของพรรคพลังประชาชน ขณะที่เตรียมขึ้นบินอยู่ ได้รับบาดเจ็บและล้มตายให้ตกไปตามกันก็ได้ ส.ส.พรรคพลังประชาชน เข้าเครื่องในวันดังกล่าว ซึ่งถ้าการสอบสวนว่าผมกระทำความผิด และให้ผมไปกล่าวคำขอโทษ ส.ส.เหล่านั้น ก็ขอให้ลงโทษด้วยการฆ่าผมเสียดีกว่าที่จะให้ผมไปกล่าวคำขอโทษกับคนที่ไม่มี ศีลธรรมเหล่านั้นให้เสียศักดิ์ศรีของความเป็นชายชาติทหารนักรบอย่างผม” กัปตันจักรี เคยเขียนจดหมายยืนยันถึงเหตุผลที่ตัดสินใจไปในครั้งนั้น


อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจลาออกจากการเป็นครูสอนนักบินของเหล่ากัปตันอาวุโสทั้ง 5 คนนี้จะส่งผลกระทบต่อบริษัท การบินไทย อย่างแน่นอน โดยเฉพาะฝูงบินโบอิง 737 เนื่องจาก กัปตันเหล่านี้มีประสบการณ์สูงและเป็นบุคลากรที่มีค่าของบริษัท

สนธิแฉสัตว์นรกทำทุกทางเอาเคล็ดสร้าง พระหน้าเหลี่ยม เพิ่มพลัง

วันนี้(28 ต.ค.) เมื่อเวลา 21.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กล่าวบนเวทีที่ทำเนียบฯได้เล่าเรื่องนนทุกภาคที่ 2 ในภาคทศกัณฑ์และพระนารายณ์ในภาคพระราม และเกิดเป็นสงครามครั้งสุดท้าย โดยเปรียบพฤติกรรมของทศกัณฑ์ที่ไม่มีศีลธรรม บ้าอำนาจ บ้าตัณหา เหมือนคนบางคนที่เปลี่ยนดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ
นายสนธิ เล่าเปรียบเทียบว่า ขณะที่พระรามก็มีเหล่าทหารเอกที่เป็นเหล่าเทวดาที่มาเกิดเป็นลิงและรบกับทศ กัณฑ์ที่ตอนแรกนึกได้ชัยชนะแล้วหลังจากที่ยิงศรไปทำให้ศรีษะหลุดจากบ่านึก ว่าตายไปแล้ว แต่ทศกัณฑ์ยังไม่ตายเพราะถอดหัวใจไปฝากไว้ที่อื่น ซึ่งเหมือนกับกรณียุบพรรคไทยรักไทย นึกว่าสิ้นฤทธิ์ แต่กลับมีพรรคพลังประชาชนขึ้นมาและมียักษ์ตัวใหม่คือ นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จนกระทั่งหนุมาน ที่เป็นทหารเอกใช้วิธีการจนกระทั่งนำหัวใจมาทำลายได้จึงสิ้นฤทธิ์ในที่สุด
จากนั้น นายสนธิ ได้เล่าย้อนอดีตประวัติศาสตร์ในช่วงพระเจ้าตาก สมัยที่ฝ่าวงล้อมข้าศึกนำไพร่พลแค่ 500 คนตีฝ่าออกไปทางตะวันออกบ่ายหน้าไปทางจันทบุรี ระหว่างทางได้รวมรวมไพร่พลที่บางละมุง ชลบุรีและทรงปลูกต้นสนใหญ่ต้นหนึ่งเพื่อเป็นหลักของชาติไว้ที่วัดบางละมุง ขณะเดียวกันได้หล่อพระศรีอารยเมตรัยเพื่อเป็นหลักธรรมตั้งตรงกัน แต่ปรากฎว่าเมื่อปี 2544 ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยสร้างพระขึ้นมาใหม่เรียกว่าพระชินวัตรมุณีทรงหน้า เหลี่ยมมาวางเอาไว้ระหว่างกลางเพื่อเอาเคล็ด ขณะเดียวกันได้นำรูปจำลองพระแก้วมรกตซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของพระมหา กษัตริย์มาวางไว้ข้างล่างพระชินวัตรมุณี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะที่ นายสนธิ ได้เล่าและชี้ให้เห็นความผิดปกติเหล่านี้ก็ได้แสดงภาพประกอบเป็นหลักฐานพร้อมกันไปด้วย

นอกจากนี้ นายสนธิ ได้ชี้ให้เห็นอีกว่ายังมีการหล่อพระพุทธรูปชินวัตรมุณีองค์ใหญ่ เพื่อรับพลังจากหลักชาติ และใต้ฐานของพระพุทธรูปดังกล่าวยังหล่อเป็นรูปนักการเมืองหลายคน เช่น นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ นายบรรหาร ศิลปอาชา นายเนวิน ชิดชอบ เทพเจ้ากวนอู และรูปของตัวเองในรูปของเศรษฐีมีทรัพย์ และที่น่าสังเกตก็คือมีรูปหล่อที่ลักษณะหมิ่นเหม่ เนื่องจากแต่งองค์ทรงเครื่องผิดไปจากบุคคลทั่วไปซึ่งถ้าสังเกตให้ดีก็จะรู้ เป็นใคร ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการเอาเคล็ดในลักษะฝังรูปฝังรอย

นายสนธิ กล่าวว่า ลักษณะดังกล่าวถือเป็นการกระทำอย่างจงใจและเลวมากขอให้พระคุณเจ้าที่เป็น เจ้าอาวาสวัดบางละมุงทุบฐานที่หล่อรูปดังกล่าวทิ้งไป รวมทั้งย้ายพระพุทธรูปชินวัตรมุณีหน้าเหลี่ยมออกไปโดยถ้าเป็นไปได้ให้ย้ายไป ที่เชียงใหม่ให้พวกกลุ่มเชียงใหม่ 51 ได้กราบไหว้ก็แล้วกัน

นายสนธิ ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่าใต้ฐานของพระพุทธรูปยังมีตราพระราหูซึ่งเป็น สัญญลักษณ์ของตำรวจ เพื่อให้ตำรวจอยู่ใต้พระชินวัตรมุณีตลอดไป แล้วยังนำลายของเหรียญพิฆาตไพรี ซึ่งเป็นเหรียญที่ปลุกเศกที่เมืองนครศรีธรรมราชเพื่อมอบให้กับนักรบในสมัย โบราณออกศึก มีเป้าหมายเพื่อเสริมอำนาจของสาวกไปทำลายฝ่ายตรงข้าม

จากนั้น นายสนธิ ได้เชื่อมโยงเหตุการณ์ที่ นายสมชาย และภรรยาและญาติใกล้ชิดไปทำพิธีบวงสรวงที่นครศรีธรรมราชเมื่อวันที่ 17 พ.ต.2551 ราว 5 เดือนก่อน ซึ่งขณะที่ไปทำพิธีที่ศาลหลักเมืองก็ได้นำผ้าแพรไปผูกทับกับผ้าแพรที่พระบรม โอรสาธิราชฯทรงผูกเอาไว้เดิม จากนั้นก็ได้ไปทำพิธีบวงสรวงพระเจ้าตากที่วัดเขาพนม โดยมีการยิงปืน 21 นัดเหมือนกับพิธีของพระมหากษัตริย์ และต่อมาเมื่อวันที่ 21 เดือนเดียวกันก็บังเอิญเกิดเหตุการณ์ทุบเทวรูปและย้ายศิวลึงก์ที่ปราสาทพนม รุ้ง ซึ่งเชื่อกันว่าต้องการทำลายอำนาจของพระอาทิตย์และเอาเคล็ดบางอย่าง

ในตอนท้าย นายสนธิ ย้ำว่า การสู้กับพวกสัตว์นรกพวกนี้ต้องสู้ทุกรูปแบบ แต่ก็ต้องสู้เพราะเป็นเรื่องของชาติและราชบัลลังก์

นรกป่วนกรุง ลอบวางกำลังล้อม พันธมิตรฯ

“นรกป่วนกรุง” พร้อมอาวุธครบมือ ลอบวางกำลังกว่า 300 คน แฝงตัวกระจายทั่วบริเวณลานพระบรมรูป-สวนสัตว์ดุสิต คาดเตรียมก่อเหตุป่วนบุก “ทำเนียบฯ” แฉ “นายทหารยศ พล.ต.” ดอดเข้าพบตำรวจใน บชน. เชื่อขอไฟเขียวให้ “ม็อบเติมเงิน” กระทำการอุกอาจต่อ “พันธมิตรฯ”

วันนี้ (28 ต.ค.) รายงานข่าวแจ้งจากลานพระบรมรูปทรงม้าว่า เมื่อเวลา 02.10 น. ได้มีกลุ่ม นปช. กว่า 300 คน ได้ลอบกระจายกำลังอยู่ที่บริเวณพระบรมรูปทรงม้า และบริเวณสวนสัตว์ดุสิต โดยกลุ่มคนดังกล่าว มีอาวุธร้ายแรงครบมือ และคาดว่าน่าจะรอคำสั่งจากผู้สั่งการ เพื่อที่จะเข้าไปก่อกวน หรือบุกกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล

ด้าน แหล่งข่าว เปิดเผยว่า ในช่วงเย็นที่ผ่านมา นายทหารยศ พล.ต.นายหนึ่ง ได้เข้าไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภายในกองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งคาดว่า นายทหารคนดังกล่าว น่าจะขอไฟเขียวจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อบุกเข้าไปทำการก่อกวนกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ถือว่าถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ เพราะไม่อาจทราบได้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะปล่อยกลุ่ม นปช.เข้าไปป่วนกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมอย่างสงบอยู่ในทำเนียบฯ หรือไม่

วิดีโอคลิป "แม้ว" หมิ่นป๋าเปรม ต่อหน้าลิ่วล้อในซิดนีย์

MV ไอ้หน้าเหลี่ยม

เพลง ยุทธตู้เย็น เวอร์ชั่น ASTV

พันธมิตรฯ นัดยื่นหนังสือสถานทูตผู้ดี ลากคอ แม้ว มาติดคุก

“แกนนำพันธมิตรฯ” ไม่บ้าจี้เดินตามข้อเสนอนักวิชาการจัดเสวนากู้วิกฤตการเมืองนัดตบเท้า ดาวกระจายสถานทูตอังกฤษ-เอ็มโพเรียม จี้ผู้ดีส่งตัว “ทักษิณ” กลับมาติดคุก พฤหัสบดีนี้ พร้อมจัดทีมทนายพิสูจน์คดี ตร.วิสามัญฯ “การ์ดอาสา” ก่อนยัดเยียดข้อหายาเสพติด

วันนี้ (28 ต.ค.) พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมแถลงข่าวที่ห้องผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวถึงแนวทางการเจรจา 4 ฝ่าย ประกอบด้วย กลุ่ม นปช. พันธมิตรฯ ฝ่ายค้าน และรัฐบาลว่า ถ้ามีใครมาเจรจาตอนนี้ก็ต้องเกี่ยวข้องกับการชุมนุมของพันธมิตรฯ เท่านั้น ซึ่งการเจรจาครั้งนี้กลุ่ม นปช.ไม่เกี่ยวกัน เพราะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับวัตถุประสงค์ของพันธมิตรฯ โดยในขณะนี้น่าจะเป็นรัฐบาลมากกว่าที่จะเป็นผู้ที่มาเจรจากับพันธมิตรฯ ส่วนที่การเสวนาที่นักวิชาการเสนอมา ตนคิดว่าถ้ามีการเสวนาแล้วเกิดผล พันธมิตรฯ ก็คงไม่ต้องมาชุมนุมเช่นนี้

“ถ้ามีการเสวนาแล้วมันแก้วิกฤตได้ เราจะมาบ้ามาโง่ทำไม และมากินมานอนอยู่อย่างนี้ทำไม หากการเสวนาได้ผล เราพร้อมทำทันที” พล.ต.จำลอง กล่าว

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันพฤหัสบดีที่ 30 ต.ค. ทางพันธมิตรฯ จะเคลื่อนขบวนตามยุทธศาสตร์ดาวกระจายเพื่อแจกซีดีตำรวจทำร้ายประชาชน เวลา 10.00 น. ตั้งแต่สถานทูตอังกฤษ ไปทางถนนสุขุมวิท จนถึงห้างดิเอ็มโพเรียม โดยจะไปยื่นหนังสือที่สถานทูตอังกฤษ เพื่อขอให้ประเทศอังกฤษเร่งพิจารณาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมายังประเทศไทย

ส่วนจะมีการเปิดเส้นทางการจราจรรอบบริเวณทำเนียบรัฐบาลหรือไม่นั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ตนต้องพิจารณให้รอบคอบก่อนเนื่องจากพันธมิตรฯ มีความจำเป็นที่ต้องชุมนุมต่อไป อย่างไรก็ตาม ตนก็เห็นใจการจราจรเพราะทำให้รถติด แต่เมื่อเทียบกันแล้วกับการแก้ไขปัญหาของวิกฤตชาติ เราต้องเลือกที่จะเสียสละ

ทั้งนี้ การชุมนุมของพันธมิตรฯ ผ่านมาถึง 150 วัน ซึ่งผู้ชุมนุมต้องอยู่ในทำเนียบรัฐบาลอย่างยากลำบาก ไม่ได้สุขสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน แต่ที่ทำอย่างนี้ก็ทำเพื่อประเทศ

“หากพันธมิตรฯ มีการเปิดเส้นทางรอบทำเนียบรัฐบาลเมื่อเกิดปัญหา หรือมีการบุกรุกเข้ามาทำร้ายกลุ่มผู้ร่วมชุมนุม ถามว่าใครจะมาปกป้องและรับผิดชอบ เพราะฉะนั้น สังคมต้องยอมเสียสละเพื่อประเทศชาติ ถึงแม้การเดินทางมาเรียนของนักเรียนจะยากขึ้น แต่ก็เป็นการเสียสละที่งดงาม ซึ่งผู้ปกครอง ครูอาจารย์ ต้องเข้าใจ” พล.ต.จำลอง กล่าว และว่าหากมีการเปิดเส้นทางการจราจรแล้วมีผู้เข้ารับผิดชอบและดูแลความ ปลอดภัยให้กลุ่มผู้ชุมนุมอย่างจิงจัง ตนก็ยินดีให้ความร่วมมือและยอมเปิดเส้นทางเพื่อการจราจร

นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ตำรวจวิสามัญฆาตกรรม นายสมชาย ศรีประจักษ์ การ์ดอาสาพันธมิตรฯ ว่า ตำรวจได้กล่าวหาว่านายสมชายพกยาเสพติดจึงได้ทำการวิสามัญฯ ทั้งๆ ที่นายสมชายไม่ได้พกอาวุธแต่อย่างใด จึงแสดงให้เห็นว่าตำรวจใช้อำนาจที่ป่าเถื่อน ซึ่งเชื่อว่าเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ จึงต้องมีการพิสูจน์ในชั้นศาลให้ถึงที่สุด

พล.ต.จำลอง กล่าวเสริมว่า นายสมชายจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีสิทธิทำการวิสามัญฯ ทำไมไม่มีการออกหมายจับก่อนเพื่อสอบสวนในชั้นศาล ขืนยังปล่อยเรื่องนี้ไป บ้านเมืองก็แย่แน่ ทางพันธมิตรฯ จึงไม่นิ่งนอนใจไม่ได้ จึงไปสอบถามกับประชาชนที่อยู่และรู้จักกับผู้ตาย

ขณะที่ นายพิภพ กล่าวว่า การวิสามัญฯ นายสมชายครั้งนี้เป็นการฆ่าคนที่มีส่วนร่วมกับพันธมิตรฯ ที่พร้อมที่จะตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และไม่ว่านายสมชายจะมียาเสพติดครอบครองหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ควรวิสามัญฯ เหมือนกันกรณีที่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ ที่ได้สั่งฆ่าตัดตอนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวกับยาเสพติด

ทั้งนี้ ยังตั้งข้อสงสัยว่า การเสียชีวิตดังกล่าวเป็นเพราะนายสมชายมาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ หรือไม่ เพราะเท่าที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามคุกคามและข่มขู่ผู้ที่ได้รับ บาดเจ็บจากเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค.ที่โรงพยาบาล ทางพันธมิตรฯ จึงมอบหมายให้ทนายจัดการเรื่องการให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในเหตุการณ์ ดังกล่าว เพราะว่าให้ผู้บาดเจ็บไปให้ปากคำอาจจะเปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาแทนได้ ดังนั้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติควรออกมาแถลงข่าวกับเรื่องนี้ให้ชัดเจน

แม่น้องโบว์ ฟ้อง รองโฆษกตร. กล่าวหาพกระเบิด!

แม่น้องโบว์ มอบทนายพันธมิตร ยื่นฟ้อง "สุรพล ทวนทอง" รอง โฆษก ตร. หมิ่นผู้ตายกล่าวหาพกระเบิด ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง 29 ธ.ค.นี้

วันนี้ ( 28 ต.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รับมอบอำนาจจาก นางวิชชุดา ระดับปัญญาวุฒิ มารดาของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือน้องโบว์ อายุ 27 ปี นักศึกษาปริญญาโทมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 ที่ผ่านมา ยื่นฟ้อง พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้ตายด้วยการโฆษณา และความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 ต.ค.51 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยในฐานะรองโฆษก ตร.ได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมาย โดยแถลงข่าวใส่ร้ายป้ายสีผู้ตายว่า “ สำหรับการเสียชีวิตของ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ที่เสียชีวิตจากใบชันสูตรพบว่าซี่โครงบริเวณด้านซ้ายหักทุกซี่ น่าจะเกิดจากการหนีบระเบิด หรือมีระเบิดอยู่ในกระเป๋าที่หนีบมา บาดแผลเกินกว่าที่อาวุธของเจ้าหน้าที่มีอยู่ ” ข้อความดังกล่าวเป็นเท็จทั้งสิ้น ความจริงแล้วผู้ตายมีแผลขนาดใหญ่ เป็นรอยไหม้ มีเขม่า ซึ่ง ผศ.พล.อ.ต.นพ.วิชาญ เปี๋ยวนิ่ม หัวหน้าหน่วยนิติเวช ภาควิชาพยาธิวิทยา ยืนยันว่าลักษณะบาดแผลของผู้ตาย เกิดจากเป็นบาดแผลไม่เรียบเกิดจากความแข็งมีรอยไหม้ เนื่องจากวัตถุมีความร้อน ตับและม้ามแตกจากวัตถุที่มีแรงอัด เกิดจากระเบิดในระยะใกล้ตัว ไม่ติดกับลำตัว เนื่องจากซี่โครงร้อยเป็นแนวยาว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้เสียชีวิตจะพกวัตถุระเบิดติดตัว

การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกล่าวใส่ร้ายผู้ตาย ให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าผู้ตายเป็นผู้หญิงไม่ดี มีนิสัยก้าวร้าว ดุดัน พกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ครอบครัวบิดา มารดา และครูบาอาจารย์ไม่สั่งสอน และเป็นการมุ่งเจตนาใส่ร้ายให้ผู้ตายเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จึงเป็นการกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทผู้ตายโดยการโฆษณา

นอกจากนี้จำเลยในฐานะรองโฆษก ตร. เป็นเจ้าพนักงาน ได้กล่าวข้อความอันเป็นเท็จต่อสื่อมวลชน ซึ่งเป็นการใส่ความผู้ตายต่อบุคคลที่สาม จึงเข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต อีกด้วย
ศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.4167/2551 และนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 29 ธ.ค. นี้ เวลา 09.00 น.