เมื่อครั้ง"จารบุรุษ" เป็นนักข่าวได้ไม่นาน ได้รับมอบหมายจากบก. ให้เดินทางไปทำข่าวที่สำนักงานพล.ต.อ.สล้าง บุนนาค รองอ.ตร. ซึ่งพล.ต.อ.สล้าง มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลงานด้านการจราจร ขณะนั้น พล.ต.อ.สล้าง พยายามผลักดันรถไฟฟ้าระบบใต้ดินจากประเทศเยอรมนี ในขณะที่พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผู้ว่าฯกทม.ในสมัยนั้น ยืนยันที่จะเดินหน้าโครงการรถไฟลอยฟ้า และในที่สุด รถไฟฟ้าบีทีเอส ก็เกิดขึ้น ถือเป็นรถไฟฟ้าสายแรกในเมืองไทย ในขณะที่โครงการของพล.ต.อ.สล้าง ล้มพับไปในที่สุด
ครั้งนั้น ก่อนไปทำข่าว รุ่นพี่นักข่าว เล่าให้ฟังถึงวีรกรรมของพล.ต.อ.สล้างพอเป็นที่สังเขปว่า นายตำรวจผู้นี้ "ไม่ธรรมดา" โดยยกตัวอย่างภาพ นายตำรวจผู้หนึ่ง คาบบุหรี่ มือขวากำอาวุธปืน ยืนเล็งเข้าไปภายในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อตุลา 19 รุ่นพี่นักข่าวบอกว่า เขาล่ะ "สล้าง บุนนาค" จากนั้นเราก็ไม่ได้สอบถามรายละเอียดอะไรมากนั้น จนกระทั่งมาเกิดเหตุการณ์"วิสามัญฆาตกรรมบันลือโลก" โจ ด่านช้างกับพวกรวม 6 ศพ
เหตุการณ์ครั้งนั้น เกิดราวปลายเดือน พ.ย. 2539 แก๊งชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง ประกอบด้วย นายศุภฤกษ์ เรือนใจมั่น หรือ โจ ด่านช้าง หัวหน้าแก๊ง นายสุบิน เรือนใจมั่น น้องชายของโจ ด่านช้าง นายประสิทธิ์ โพธิ์หอม นายยิ้ว ปริวัตรสกุลแก้ว นายหยัด และนายปราโมทย์ (ไม่ทราบนามสกุล) นำอาวุธสงครามเต็มอัตรา หวังไปถล่มสังหารเหยื่อที่หักหลังกันในธุรกิจค้ายาบ้า เหตุเกิดที่จ.สุพรรณบุรี ต่อมาไม่นาน ตำรวจทราบข่าว ไปสกัดจับแก๊งคนร้ายรายนี้ โดยทั้งหมด หลบหนีเข้าไปที่บ้านเลขที่ 107/1 หมู่ 5 ต.บางใหญ่ อ.บางปลาม้า ซึ่งเป็นบ้านยกสูง 2 ชั้น และกำลังถูกน้ำท่วมขังรอบบ้าน
ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.สล้าง เป็นผู้นั่งเฮลิปคอปเตอร์ ของกองบินตำรวจ ไปบัญชาการเหตุการณ์ด้วยตนเอง พร้อมกับส่งมือปราบ พ.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ลุยน้ำเคียงอก ถือโทรโข่งเข้าเกลี้ยกล่อม และในที่สุด ก็ช่วยเหลือตัวประกัน 3 คนในบ้านออกมาได้ หนึ่งในตัวประกันนั้น เป็นอัมพาต ต้องลำเลียงลงเรือออกมาอย่างทุกลักทุเล หลังจากนั้น แก๊งคนร้ายทั้งหมด ขอมอบตัว ตำรวจพาทั้งหมดลุยน้ำออกมาจนเกือบจะถึงฝั่งที่พล.ต.อ.สล้าง บัญชาการอยู่แล้ว แต่จู่ๆ กลับพาคนร้ายทั้ง 6 คน เดินกลับเข้าไปในบ้านหลังเดิมอีก (ซึ่งภายหลังตำรวจให้สัมภาษณ์ว่า คนร้าย จะยอมบอกและมอบอาวุธปืนสงครามที่ซุกซ่อนอยู่ให้) หลังจากนั้น เสียงปืนก็ระงมไปทั่วคุ้งน้ำ ตำรวจเดินลุยน้ำกลับมาในสภาพที่ปลอดภัยทุกคน แต่คนร้ายทั้ง 6 กลายเป็นศพอยู่ในบ้านหลังนั้น!
พี่บก.ข่าวอีกผู้หนึ่ง ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ และยืนอยู่เคียงข้างพล.ต.อ.สล้าง เล่าให้ฟังว่า ระหว่างที่ตำรวจพาคนร้ายเดินลุยน้ำออกมาจากบ้านหลังนั้น ได้ยินเสียงสบถออกมาว่า "ไอ้.... มึงเอาพวกมันออกมาทำไมว่ะ" จากนั้น ได้ยินนายตำรวจอีกผู้หนึ่ง วิทยุสั่งการไปยังชุดที่เข้าไปจับกุมคนร้ายว่า "นายบอกให้เอาพวกมันกลับไป ไม่ต้องพาออกมา" ต่อมา มีการนำเสนอข่าวกรณีการสั่งการดังกล่าวขึ้น จนพี่บก.ข่าวผู้นี้ ต้องเก็บตัวอยู่ระยะหนึ่ง จนเรื่องราวข่าว"โจ ด่านช้าง"ซาลง
โชคชะตาคงลิขิตมาให้เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนนี้ ต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่เชิงสะพานซังฮี้เสียแล้ว เพราะเจ้าของร้านตึกแถว มีเพื่อนเป็นตำรวจยศ"พ.ต.ท."(ตำรวจแก่ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ณ ปัจจุบัน) เจ้าของร้านจึงนำเรื่องที่ถูกเด็กหนุ่มข่มขู่จะพาเพื่อนมาถล่ม ไปปรึกษา ซึ่งพ.ต.ท.คนนั้น ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง บอกกับเจ้าของร้านตึกแถวว่า "เรื่องนี้ เอ็งสบายใจได้ เดี๋ยวข้าจัดการให้ กลับไปนอนหลับให้สบาย พรุ่งนี้เช้าค่อยเจอกัน"
รุ่งขึ้นตอนเช้า เด็กหนุ่มวัยรุ่นจากบ้านนอก พาเพื่อนรวม 6 คน ไปทวงถามเงินเดือนของเขาจากเจ้าของร้านตามคำมั่นสัญญาที่ประกาศไว้ จากนั้นไม่นาน พี่นักข่าวรุ่นเก๋ากึ้กก็ได้รับมอบหมายให้ไปทำข่าว 241 (รหัสวิทยุ หมายถึง เหตุฆ่ากันตาย) ที่เชิงสะพานซังฮี้ พี่นักข่าวรุ่นเก๋ากึ้กเล่าว่า เมื่อไปถึง มันแปลกตรงที่ว่า ตำรวจไม่ให้เข้าไปตรงบริเวณตึกแถวที่เกิดเหตุ แต่ให้รออยู่ที่บริเวณสะพาน พวกนักข่าวจึงพากันนั่งรอที่ราวสะพานซังฮี้ ซึ่งก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะๆ พี่นักข่าวรุ่นเก๋าก้กบอกว่า เขาเห็นวันรุ่นคนหนึ่ง พยายามวิ่งหนีไปตามระเบียงตึกแถวแล้วหายเข้าไป ขณะที่อีกคนหนึ่ง วิ่งออกมาจากตึกแถวแล้วไปล้มฟุบจมกองเลือดอยู่ริมถนน
No comments:
Post a Comment