Wednesday, October 22, 2008

ตี๋ - ชิงชัย อุดมเจริญกิจ ในวันที่มือมิอาจจับพู่กันเขียนภาพ

ตัวตนของเขาที่หลายคนรู้จัก ไม่แตกต่างไปจากที่เพื่อนๆของเขาบอกเล่าผ่านสื่อ นั่นคือ ธรรมะธัมโม เหล้าไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สูบ และน่าจะเป็นคนที่มีมือเอาใช้จับพู่กันวาดภาพ มากกว่ามีมือเอาไว้หิ้วระเบิด

หลังเหตุการณ์ที่ตำรวจใช้แก๊ซน้ำตาเข้าสลายผู้ชุมชน บริเวณหน้า รัฐสภาและหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.)เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 ภาพของชายนิรนามคนหนึ่งที่เนื้อตัวโชกไปด้วยเลือด ซึ่งตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์บางฉบับในวันต่อมา และมีข้อความกำกับไว้ว่านี่คือ “มือบึ้ม” กลับเป็นเขาคนเดียวกันนี้ .. ตี๋ - ชิงชัย อุดมเจริญกิจ

ตี๋ ศิษย์เก่าจากรั้วเพาะช่างเป็นศิลปินอิสระและ สมาชิกเครือข่ายศิลปินกู้ชาติ ผู้มาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ในตอนเย็นของ วันที่ 7 ต.ค. 2551 ตี๋และเพื่อนรวมกัน 3 คน ได้หายไปจากเต็นท์ “ฮิปปี้กู้ชาติ” บริเวณทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นที่ๆเครือข่ายศิลปินมักจะไปรวมตัวกันอยู่ โดยทั้งสามได้เดินทางไปที่ บชน

โดยที่ไม่รู้ว่า ต่อมาพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสกันไปคนละแบบ คนหนึ่งโดนสะเก็ดระเบิดเป็นแผล 16 รู ที่หลัง อีกหนึ่งคน บาดเจ็บสาหัสที่แขนข้างหนึ่ง จนต้องถูกนำตัวไปรักษาที่ รพ.ราชวิถี ที่แขนมีรูใหญ่เท่าเหรียญสิบ คว้านเนื้อลึกลงไป

ขณะที่ตี๋หายสาบสูญไป จนรุ่งเช้าของวันที่ 8 ต.ค.51 นางเมตตา อุปมัย ซึ่งเป็นภรรยาของเขาก็ได้ติดต่อมายังเพื่อนศิลปินให้ช่วยตามหาตัวให้ เพราะตี๋ไม่ได้กลับไปนอนที่บ้าน กระทั่งในที่สุดเมตตาก็ทราบว่าสามีของเธอไปนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลรามา ธิบดี แต่เธอก็ต้องพบกับกับความเจ็บปวดใจ เมื่อได้รู้ว่ามือข้างขวาของเขาซึ่งเคยใช้จับพู่กันเขียนภาพหาเลี้ยงเธอและ ลูกอีก 2 คน ได้ถูกตัดทิ้งไปเสียแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้นอวัยวะสำคัญส่วนอื่นๆ ของเขา ไม่ว่าจะเป็น กล่องเสียงถูกสะเก็ดระเบิดทำลายจนแหลกละเอียด ซึ่งอาจจะพูดไม่ได้ตลอดชีวิต ขณะที่กระดูกอกข้างซ้ายแตก ปอดชำรุด ซึ่งหมอพยายามช่วยชีวิตเบื้องต้นเพื่อให้หายใจได้เท่านั้น อาการของตี๋อยู่ในขั้นโคม่า ในครั้งแรกที่มีเพื่อนไปเยี่ยม เขาได้แต่พยักหน้ารับรู้

นพ.ดิเรก ภาคกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา คือผู้ที่ไปพบตี๋ซึ่งกำลังนั่งพิงกำแพง สภาพร่างกายมีเลือดไหลบริเวณคอ และหน้าอก มือขวาขาด และได้นำตัวตี๋ส่งโรงพยาบาล ตี๋ยังรู้สึกตัวแต่ไม่สามารถพูดได้เนื่องจากบาดเจ็บที่หลอดลม

โดยที่มือซ้ายของเขา ซึ่งตำรวจได้ระบุว่ามันได้กุมระเบิด เอ็ม 79 ไว้ และยังได้สรุปว่า ฝ่ายพันธมิตรฯ ได้นำระเบิดมาร่วมชุมนุมและ ผู้ชุมนุมที่ต้องบาดเจ็บสาหัส แขนขาด ขาขาด หรือกระทั่งเสียชีวิตนั้น ก็เนื่องมาจากระเบิดที่ฝ่ายพันธมิตรฯ นำมาเองทั้งสิ้น

แต่เมื่อตี๋ถูกนำไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ปรากฏว่าสิ่งของในมือที่ตี๋กุมอยู่มันคือสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายพระเครื่อง ซึ่งทั้งหมอ พยาบาล คนขับรถฉุกเฉิน ก็ล้วนแต่พร้อมใจกันจะเป็นพยายานว่า วัตถุในมือของตี๋ไม่ใช่ระเบิดอย่างแน่นอน

หมอบอกว่าอาการของตี๋ยังวิกฤต และต้องนอนรักษาตัวอยู่ห้องไอซียูอีก 1 เดือน แต่สำหรับครอบครัวของตี๋อะไรก็ไม่น่าเศร้าเท่าใจ คำกล่าวหาของตำรวจที่บอกว่าสามีของเธอกุมระเบิดไว้ในมือ

เธอกล่าวว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาแถลงว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นผู้พกระเบิดไว้ ในมือ ถือเป็นการใส่ร้าย ไม่รู้ว่าทำได้อย่างไร ทั้งๆ ที่สามีเป็นคนธรรมะธัมโม บุหรี่ไม่สูบ เหล้าก็ไม่เคยดื่ม แม้มดสักตัวยังไม่ต้องการฆ่า เป็นคนจิตใจอ่อนไหว อ่อนหวาน อ่อนโยน รักครอบครัว ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้บริหารบ้านเมืองยังไม่ได้ไตร่ตรองหรือถามมายังญาติของผู้ เสียหาย แต่กลับแถลงความเห็นสร้างความเสียหายให้แก่วงศ์ตระกูล การที่ตำรวจออกมาพูดในลักษณะนี้ แสดงให้เห็นถึงความไม่รับผิดชอบ

ขณะนี้เมตตาซึ่งเป็นเพียงแม่บ้านและไม่มีรายได้ใดๆ ต้องคอยเฝ้าดูแลอาการของสามีอยู่ไม่ห่าง และต้องวานให้น้องสาวลางานอย่างไม่มีกำหนดเพื่อมาช่วยเธอดูแล รวมลูกชายวัย 5 ขวบและ 9 ขวบ ของเธอ

วันที่ภาพข่าวของตี๋ถูกเผยแพร่ทางโทรทัศน์ ลูกชายคนเล็กของเขาได้ชี้ไปที่โทรทัศน์และร้องว่า “นั่นพ่อนี่” แต่เมตตาและและคุณยายของลูกได้พยายามบอกว่าไม่ใช่ เพราะตี๋บอกกับเมตตาว่าไม่อยากให้ลูกรู้

ในวันที่ 10 ต.ค. 2551 เวลา 14.30 น.ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี กวีซีไรต์ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ และศิลปิน วสันต์ สิทธิเขตต์ แนวร่วมกลุ่มศิลปินเพื่อประชาธิปไตย พร้อมเพื่อนศิลปินกว่า 30 คน ได้เดินทางมาเยี่ยมอาการของตี๋ ที่ยังคงรักษาตัวอยู่ห้องไอซียู 5 ตึกศัลยกรรมชาย

เนาวรัตน์ได้อ่านแถลงการณ์ ฉบับที่ 2 ระบุว่า ตี๋ เป็นศิลปินอิสระได้ลงชื่อในแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 เพื่อร่วมประณามและคัดค้านความรุนแรงที่รัฐบาลกระทำต่อประชาชน ผู้ใช้สิทธิโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ จนเกิดบาดเจ็บเป็นจำนวนมากในเช้าวันดังกล่าว หลังจากนั้น ตี๋ พร้อมกลุ่มแนวร่วมกลุ่มศิลปินฯ ได้ไปเยี่ยมผู้เจ็บป่วย ที่ รพ.วชิรพยาบาล ร่วมกับสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย จากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับ

ต่อมา วันที่ 8 ตุลาคม 2551 ภาพที่ปรากฏหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับลงภาพตี๋ ได้รับบาดเจ็บสาหัส แขนขวาขาดหมดสติหน้า บชน.ในช่วงเย็น ซ้ำยังตกเป็นเหยื่อการใส่ร้าย ด้วยภาพมีระเบิดอยู่ในมือซ้าย แนวร่วมศิลปินและญาติ จึงได้ไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม

“เรา ขอประณามและเรียกร้องทั้งรัฐและกลไกรัฐ พร้อมสื่อมวลที่ไร้มโนธรรมสำนึก ต่อความป่าเถื่อนที่รัฐเป็นผู้สร้างความรุนแรง พร้อมการใส่ร้ายป้ายสี เช่น ทุกครั้งที่รัฐเผด็จการกระทำต่อประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา 16 และ 6 ตุลา 19 กระทั่ง 17 พฤษภา 35 และ 7 ตุลา 51 อันเป็นบาดแผลของแผ่นดินที่อยากจะเรียกร้องความสนามฉันท์ได้”
เนาวรัตน์ กล่าวต่อว่า เราศิลปินทุกคน รู้สึกเจ็บปวดกับการที่ ตี๋ เสียมือ ซึ่งเคยสร้างสรรค์งานศิลป์ทรงคุณค่า ดับความใฝ่ฝันแสนงามของสังคมที่เป็นธรรมและสันติสุข พวกเราจะปฏิญาณจะจับต่อมือของเพื่อน เพื่อรังสรรค์ตามอุดมการณ์สืบไป กับขอเตือนสติ ผู้สวมหัวโขนแห่งอำนาจ และเครื่องแบบของกลไกรัฐทุกคน ว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรก็ตาม สิ่งที่คุณจะต้องเป็นให้ได้เสียก่อน นั่นคือ คุณต้องเป็นมนุษย์ คุณสมบัติแรกของความเป็นมนุษย์ ก็คือ มโนธรรมสำนึก ซึ่งเป็นความรับผิดชอบทางศีลธรรม ปราศจากสิ่งนี้คุณก็เป็นแค่หุ่นยนต์กลไก ที่อันตราย ที่เสื่อมค่าในที่สุด

“เราขอประณามและคัดค้านในรูปแบบของเรา เพื่อกู้ศักดิ์ศรีความเป็นศิลปิน ผู้มีภาระหน้าที่ดูแลอารมณ์ ความรู้สึกของผู้คนในสังคม ทั้งนี้ แถลงการณ์ดังกล่าว มีรายนามชื่อศิลปิน 25 คน ศิลปินที่ร่วมลงชื่อ เช่น นาย อังคาร กัลยาณพงษ์ ศิลปินแห่งชาติ นายรงค์ วงษ์สวรรค์ ศิลปินแห่งชาติ นายอาจินต์ ปัญจะพรรค์ ศิลปินแห่งชาติ นางจิระนันท์ พิตรปรีชา กวีซีไรต์ เป็น ต้น นอกจากนี้ ยังมีสมาคมต่างๆ เช่น สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ รวม 6 สมาคมร่วมลงชื่อด้วย”

เนาวรัตน์ กล่าวด้วยว่า รู้จักคุ้นเคยกับนายตี๋ เพียงห่างๆ ซึ่งในวันเกิดของตน ตี๋ เคยเข้ามาร่วมงานด้วย เท่าที่รู้จักเขาเป็นคนที่เขียนรูปสวย เขียนรูปเหมือนได้ดีมาก รับรองว่าศิลปินไม่มีอาวุธ ระเบิด การที่รัฐทำความรุนแรง เป็นวิธีการที่ใช้มาตลอด ทั้งนี้ ศิลปิน เพื่อนศิลปิน จะจัดนิทรรศการ โดยรายได้ทั้งหมดจะไปมอบให้ครอบครัวของตี๋

เวลา 14.40 น. เนาวรัตน์ และเพื่อนศิลปิน ได้ขึ้นไปเยี่ยม แต่แพทย์อนุญาตให้เฉพาะญาติ ภรรยาของตี๋ เนาวรัตน์ และ พิธีกรหญิง อัญชลี ไพรีรัก เข้าเยี่ยมอาการ

ประเสริฐ พุทธศร เพื่อนของตี๋ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมบริเวณ บช.น.เล่าให้ฟังว่า ตน ,ตี๋ และ ณัฐ เพื่อนอีกคน ตั้งใจจะไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯ แต่เหตุการณ์สลายชุมนุมหน้า บช.น.ซึ่งจังหวะนั้นพวกตน 3 คน หันหลังพิงกำแพงเพื่อป้องกันตนเอง แต่สังเกตเห็นว่า บริเวณกำแพงมีตำรวจซุ่มอยู่จำนวนมาก และจากการสลายการชุมนั้น ตนได้รับบาดเจ็บบริเวณหลัง ณัฐ มีอาการแก้วหูแตก และตี๋ ได้แสดงความเป็นห่วง แต่ตี๋ พูดไม่ได้ บริเวณคอมีบาดแผล มือขาด แต่ตี๋ พยายามเขียน เพื่อถามว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง

จากนั้น พี่น้องหน่วยกาชาด ได้นำตนไปส่งที่ รพ.ศิริราช และมาทราบภายหลังว่า ตี๋ถูกใส่ร้ายว่ามีระเบิดอยู่ในมือ

ประเสริฐร้องไห้ อย่างไม่มีจริต เสียใจในการกระทำของตำรวจมาก และรับไม่ได้ กับสิ่งที่ตำรวจทำ เพราะเป็นการใส่ร้ายป้ายสี ทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงต่อวงศ์ตระกูล ลูกหลาน ของตี๋ ตนจึงขอให้สังคมให้ความเป็นธรรม ต่อตี๋ ด้วย

ประเสริฐ เล่าว่า นานๆ ครั้ง ตี๋ จะมาร่วมชุมนุม โดยจะมาฟังเอาความรู้แล้วนำไปใช้ประกอบการเขียนภาพ และเหตุผลที่ไม่สามารถเดินทางมาร่วมชุมนุมบ่อยๆ ได้ เพราะมีลูกชายเล็กๆ 2 คน นิสัยของตี๋เป็นคนรักครอบครัวมาก แต่ตอนนี้ไม่มีมือแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะใช้มือซ้ายเขียนภาพได้หรือปล่าว

ด้าน นิด กรรมาชน กล่าวว่า เท่าที่รู้จักกันมาตี๋เป็นศิลปินที่มีธรรมะในใจ มีจิตใจอ่อนโยน มักทำสมาธิ ถือศีล เป็นคนสมถะ มีอาชีพวาดรูปขาย จึงมีคำถามว่าคนนิสัยอย่างนี้หรือจะมีอาวุธอยู่ในมือ เรามีแค่ 2 มือเปล่า มีเพียงธงชาติ บางคนอาวุธไว้ป้องกันตัวบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่กลุ่มศิลปินไม่มีอาวุธเลย แล้วจะให้ไปฟ้องเรียกร้องกับตำรวจหรือรัฐบาล ก็คงจะไม่ฟัง เพราะเป็นทรราช แม้แต่รายของน้องโบว์ ตำรวจก็กระทำย่ำยีศพคนตาย ซึ่งเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่พยายามโยนว่า ตี๋ มีอาวุธระเบิด ก็เป็นการสร้างหลักฐานของตำรวจ ซึ่งตำรวจเป็นทั้งคนยิงและพิสูจน์หลักฐาน ฉะนั้น จะสร้างหลักฐานอะไรก็ได้

“จริงๆ ไม่ว่าฝ่ายใดได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ก็ไม่เห็นด้วย แต่การที่ฆ่าประชาชนเพื่อให้ บรรดา ส.ส. ส.ว.เข้าออกรัฐสภา เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ ซึ่งวันนี้ข่าวก็ออกมาชัดเจนว่าตำรวจไม่ได้ใช้แก๊สน้ำตาเพียงอย่างเดียว มีอาวุธอื่นยิงใส่ผู้ร่วมชุมนุม แถมยังใส่ร้ายด้วยการบอกว่าพันธมิตรฯทำคนขาขาด มาแสดงละคร ถามว่า ตำรวจ รัฐบาล เอาสามัญสำนึกไว้ตรงไหน”

วันที่ 12 ต.ค.2551 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศบริเวณหน้าหออภิบาลผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรม โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งเป็นสถานที่พักรักษาอาการของตี๋ ยังคงมีญาติและภรรยาของเขามาเฝ้าดูอาการอยู่หน้าห้องผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ตลอดจนมีเพื่อนและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เดินทางมาเยี่ยมเป็นระยะ พร้อมเขียนแสดงความห่วงใยลงในสมุดเซ็นเยี่ยม รวมทั้ง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้นำแจกันดอกไม้ผูกโบว์สีส้มมาเยี่ยมอาการ เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น.

นางเมตตา อุปมัย ภรรยาของตี๋ เปิดเผยว่า สนธิ ได้สอบถามตนว่า ต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องใดหรือไม่ ซึ่งตนรู้สึกว่า สิ่งเดียวที่ต้องการขณะนี้ คือให้สามีหายป่วยโดยเร็ว เพราะนอกจากจะสูญเสียมือขวาที่เป็นมือข้างถนัดใช้วาดรูปแล้ว ยังห่วงอาการที่ตี๋ถูกความร้อนเผาไหม้กับถูกแรงกระแทกบริเวณหน้าอกด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตนได้นำวิทยุเครื่องประจำของสามีมาเปิดให้ฟัง คลื่นธรรมมะที่ชอบฟังเป็นประจำ

เมตตา เปิดเผยด้วยว่า ตั้งแต่เมื่อวานนี้สามีมีสติรู้สึกตัวแล้ว และได้สื่อสารกับตนด้วยการใช้มือซ้ายจับดินสอเขียนบนกระดาษ เรื่องแรกที่เขียน คือเรื่องลูก สั่งว่าห้ามให้ น้องบลู และ น้องแจ๊ส ลูกทั้งสองคนมาที่โรงพยาบาลเด็ดขาด และเขียนด้วยว่า มือขาดแล้ว คงไม่มีโอกาสได้บวช โดยเน้นย้ำว่าเป็นเรื่องจริงจัง เพราะเดิมตั้งใจไว้ว่าเก็บเงินให้ได้ก่อนหนึ่ง แล้วจะบวชตลอดชีวิต แต่เมื่ออวัยวะไม่ครบสามสิบสองแล้ว ก็จะขอถือศีล 8 แทน

ตี๋ยังเขียนอีกว่า ไม่รู้ว่าทำเวรกรรมอะไร ถึงต้องมาเจอสภาพแบบนี้ แต่ก็ขออโหสิกรรมให้คนที่ทำ ส่วนในวันนี้ ตี๋ได้เขียนสั่งเรื่องร้านที่เช่าพื้นที่ไว้ ช่วงนี้ขอให้เพื่อนมาใช้ตั้งขายสินค้าไปก่อน ดีกว่าปล่อยให้เปล่าประโยชน์

นอกจากนี้ เอ๊ด ภิรมย์ ศิลปินอิสระ ตัวแทนจากกลุ่มเครือข่ายศิลปินเพื่อประชาธิปไตย ได้เดินทางมาเยี่ยมและหารือกับ ภรรยาของตี๋ เรื่องการจัดกิจกรรมช่วยเหลือต่าง ๆ อาทิ จัดกิจกรรมแสดงศิลปะ กวี และดนตรีเพื่อหารายได้ จัดประมูลภาพวาดผลงานตี๋ ทั้งเตรียมการช่วยเหลือเรื่องกฎหมาย และการประสานงานภาคสังคมต่าง ๆ โดยนางเมตตา จะนำไปปรึกษาตี๋อีกครั้ง

เอ๊ด เล่าด้วยว่า ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมประวัติส่วนของตี๋ เพื่อนำมาเผยแพร่และยกย่อง ในความเป็นคนสู้ชีวิต แม้ตี๋ จะเกิดในครอบครัวยากจน ในชุมชนแออัดคลองเตย แต่ก็ไม่ได้นอกลู่นอกทาง ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ก่อนจะเข้าศึกษาในรั้วเพาะช่าง ตี๋ได้รับทุนจากศูนย์เมอร์ซี่ เรียนจนจบ ป.6 ต่อ กศน. และเรียนไทยวิจิตรศิลป์ จนจบระดับ ปวช.ได้

*หมายเหตุ :
สำหรับผู้ต้องการช่วยเหลือ "ตี๋" ชิงชัย อุดมเจริญกิจ และครอบครัวสามารถโอนเงินเข้าบัญชีได้ที่ ชื่อบัญชี นายชิงชัย อุดมเจริญกิจ ธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยโลตัส พระราม 4 บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 7102341206

No comments: