Wednesday, October 22, 2008

ท้าาากสิน...ติดคุก!!

เมื่อเวลา 14.00 น. วานนี้ (21 ต.ค.)ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายทองหล่อ โฉมงาม ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาพร้อมองค์คณะออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดี ทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก จำนวน 33 ไร่ มูลค่า 772 ล้านบาทเศษ ที่ อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ร่วมกันเป็นคู่สัญญา หรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฎิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี และเป็นเจ้าพนักงาน และผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นฯ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542 ม.4 , 100 และ122 ประมวลกฎหมายอาญา ม.33, 83, 86, 91, 152 และ157 ซึ่งท้ายคำฟ้อง อัยการสูงสุด ขอศาลมีคำสั่งให้ยึดที่ดินและเงินที่ซื้อที่ดิน อันเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดให้ตกเป็นของแผ่นดินด้วย

ผิดที่"ทักษิณ"เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ

องค์คณะผู้พิพากษาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้มีอำนาจในการกำกับดูแลกองทุนเพื้อการฟื้นฟู และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 1 การซื้อขาย ที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 กับกองทุนฟื้นฟูฯ จึงเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนบุคคลขัดแย้งผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งต้องห้ามมิให้กระทำ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฝ่าฝืนพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2552 มาตรา 100 (1) ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 122 วรรคหนึ่ง

ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น มาตรา 100 เป็นบทบัญญัติให้การกระทำเป็นความผิด เนื่องจากผู้กระทำเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งยังบัญญัติให้การกระทำของคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐถึงเป็นการกระทำ ของเจ้าหน้าที่รัฐเอง แต่มาตรา 122 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษของผู้ฝ่าฝืน มาตรา100 ระบุไว้ชัดเจนว่า ให้ลงโทษแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ฝ่าฝืน มาตรา 100 ไม่ได้ระบุให้ลงโทษรวมไปถึงคู่สมรสหรือบุคคลอื่นด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิด และไม่ต้องร่วมรับโทษตาม มาตรา 122 กับ จำเลยที่ 1

สำหรับความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 152 และมาตรา 157 เมื่อจำเลยที่ 1 มีความผิด เพราะถือว่า การดำเนินกิจการประมูลซื้อขายที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ เป็นการดำเนินกิจการของ จำเลยที่ 1 ด้วยฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 2 ความผิดของจำเลยที่ 1 จึงหาใช่เพราะเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการ หรือดูแลกิจการใด เข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนั้นตามบทบัญญัติของมาตรา 152 หรือเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัตหน้าที่โดยมิชอบตาม มาตรา157

การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าว และจำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1 ด้วย

ศาลไม่ริบเงินและที่ดิน

ส่วนคำขอให้ริบทรัพย์นั้น การที่จำเลยที่ 2 ร่วมประมูลราคา และทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทนั้น หาได้เป็นความผิดในตัวเองไม่ เหตุที่เป็นความผิดสืบเนื่องจากฐานะของจำเลยที่ 1 ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่กฎหมายห้ามมิให้กระทำสัญญาหรือมีส่วนได้เสียกับหน่วยงานของรัฐเป็นเหตุ ให้จำเลยที่ 1 มีความผิด และต้องรับโทษในความผิดดังกล่าวที่ดินพิพาท จึงไม่ใช่ทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองได้มาจากการกระทำความผิด

ส่วนเงินที่จำเลยที่ 2 ชำระราคาที่ดินพิพาท ไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง ทรัพย์ทั้งสองอย่างจึงไม่ใช่ทรัพย์อันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) และ (2)

เป็นนายกฯ แต่ขาดจริยธรรม

ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ทาง ราชการ และประชาชน แต่จำเลยที่ 1 กลับฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายทั้งที่จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้ารัฐบาล ต้องกระทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ประพฤติตนในสิ่งที่ดีงามตาม จริยธรรมของนักการเมืองให้เหมาะสมกับที่ได้รับการไว้วางใจในตำแหน่งหน้าที่ อันสำคัญยิ่ง จึงไม่สมควรรอการลงโทษ และพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 (1) วรรคสาม และมาตรา 122 วรรคหนึ่ง ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ส่วนความผิดฐานอื่น และคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2

เนื่องจากจำเลยที่ 1 หลบหนี ไม่มาฟังคำพิพากษา ศาลฎีกาฯ จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลยที่ 1 เพื่อมาปฏิบัติตามคำพิพากษาต่อไป ส่วนจำเลยที่ 2 พิพากษายกฟ้อง จึงให้เพิกถอนหมายจับจำเลยที่ 2 เฉพาะคดีนี้

คุมเข้มลิ่วล้อให้กำลังใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศโดยรอบศาลฎีกา มีผู้มาให้กำลังใจพ.ต.ท.ทักษิณ กว่า 200 คน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ กว่า 300 นาย คอยรักษาความปลอดภัย ทั้งนี้ ภายหลังการทราบคำพิพากษาแล้ว นายวรัญชัย โชคชนะ ได้นำหนังสือพิมพ์ 7 ฉบับ ประกอบด้วย ไทยรัฐ บ้านเมือง ข่าวสด เดลินิวส์ คม ชัด ลึก แนวหน้า และ สยามรัฐ ที่พาดหัวกรณี ผบ.เหล่าทัพ จี้ให้นายกรัฐมนตรี แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก มาเผายังบริเวณทางเข้าศาลด้วย

อัยการเตรียมประสานขอตัว"แม้ว"

หลังมีคำพิพากษา นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ เปิดเผยถึง ขั้นตอนต่อจากนี้ว่า อัยการจะทำเรื่องขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน โดยวันนี้ (22 ต.ค.) จะมาขอคัดลอกคำพิพากษาจากศาล แล้วให้คณะทำงานดำเนินการแปล รายงานต่ออัยการสูงสุด แล้วแจ้งให้อธิบดีอัยการฝ่ายคดีต่างประเทศ ซึ่งมีนายถาวร พาณิชพันธ์ รองอัยการสูงสุด เป็นประธาน ดูแลติดตามการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งที่ผ่านมา คณะทำงานชุดนี้ได้มีการเตรียมงานมาตลอด ดังนั้น ตอนนี้เหลือแค่ขั้นตอนการคัดคำพิพากษา และเตรียมเอกสารบางส่วนที่เกี่ยวกับคดี

ส่วนเหตุที่จะนำตัวมาได้หรือไม่ได้นั้น มีหลายปัจจัย ถ้าเป็นในส่วนของประเทศไทยเราก็สามารถดำเนินการได้ แต่จากที่ผ่านมาบางคดีมีการอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลต่างประเทศ ซึ่งเราไปยุ่งกับเขาไม่ได้ หากว่าเรื่องนี้จะล่าช้าต่อจากนี้ คงไม่ได้อยู่ที่อัยการสูงสุด

ส่วนเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำเรื่องขอลี้ภัยนั้น ถือว่าเป็นเรื่องระหว่างประเทศ อัยการมีหน้าที่ประสานงานส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเท่านั้น

อัยการยันทำงานเต็มที่

เมื่อถามว่า มั่นใจแค่ไหนว่าจะดำเนินการเรื่องนี้สำเร็จ นายเศกสรรค์ กล่าวว่า เราจะเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่ให้เร็วที่สุด เราจริงจังอยู่แล้วเพราะก่อนจะมีคำพิพากษา เราก็ตั้งคณะทำงานรองรับอยู่แล้ว

เมื่อถามาว่าจำเลยเป็นอดีตนายกฯ จะมีผลต่อการปฎิบัติหน้าที่หรือไม่ นายเศกสรรค์ กล่าวว่าไม่มีผล อัยการทำงานตามหน้าที่ และพยานหลักฐานก็ได้มาจาก คตส.

เมื่อถามว่า เป็นห่วงฝ่ายการเมืองในกระทรวงการต่างประเทศ จะเข้ามาแทรกแซงหรือไม่ นายเศกสรรค์ กล่าวว่า ไม่ห่วง ทุกฝ่าย ทุกหน่วยราชการมีหน้าที่ต้องทำงานร่วมกันอยู่แล้ว

เมื่อถามว่าเมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์ จะส่งผลต่อการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ นายเศกสรรค์ กล่าวว่า ไม่เป็นไร คณะทำงานก็พร้อมจะทำคดีตลอดเวลา ส่วนเรื่องการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนก็สามารถกระทำได้เลย ไม่ต้องรอให้ผลการอุทธรณ์สิ้นสุด

จับเด็กเสธ.แดงพกระเบิดหน้าศาล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.45 น. ขณะที่ พ.ต.ท.สมิง รอดรัตษะ สว.สส.สน.ชนะสงคราม พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม กำลังปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยอยู่ภายในศาลฎีกาฯ ซึ่งกำลังเตรียมอ่านคำพิพากษาคดีดังกล่าวอยู่นั้น ก็พบเห็นชายวัยรุ่นคนหนึ่งทราบชื่อต่อมาคือนายไพรัช ขุนไกร อายุ 17 ปี อยู่บ้านเลขที่ 70 หมู่ 14 ต.ตูมใหญ่ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ เดินสะพายกระเป๋าสีน้ำตาล 1 ใบ ด้วยท่าทางมีพิรุธ อยู่บริเวณหน้าศาลหลักเมือง จึงแสดงตัวขอเข้าตรวจค้น ปรากฏว่าในกระเป๋าดังกล่าวมีระเบิดขวดจำนวน 1 ลูก หนังสติ๊กจำนวน 2 อัน ลูกเหล็ก 4 ลูก นอตตัวเมีย 6 ลูก จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่ สน.ชนะสงคราม

ทั้งนี้ นายไพรัช ให้การรับสารภาพว่า ก่อนหน้านี้เคยทำงานเป็นช่างเชื่อมอยู่ที่ จ.นนทบุรี จนกระทั่งประมาณ 1 เดือนก่อน ตนได้เข้ามาร่วมฝึกอบรมเป็นนักรบพระเจ้าตาก อยู่ที่สนามหลวง โดยมีพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง เป็นคนฝึกอบรมให้ด้วยตัวเอง โดยสาเหตุที่ตนมาเข้ารับการฝึกก็เพราะไม่ชอบกลุ่มพันธมิตรฯ และตลอดเวลาที่เข้ามาฝึก ก็ไม่เคยได้รับเงินหรือเบี้ยงเลี้ยงแต่อย่างใด

นายไพรัช ให้การว่า ตนรู้มาว่าศาลฎีกาฯจะอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตที่ดินรัชดาภิเษก จึงมาเดินเล่นเพื่อสังเกตการณ์เท่านั้น ส่วนระเบิดที่พบนั้น ตนฝึกทำเล่นๆไม่ได้นำมาก่อเหตุแต่อย่างใด โดยในวันพรุ่งนี้ตนจะเดินทางลงไปที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสมัครเป็นทหารพรานอยู่แล้ว แต่ก็มาถูกจับเสียก่อน

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหามีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับ อนุญาต ก่อนควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เป็นนักการเมืองอย่าริโกง

นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการ คตส.ให้สัมภาษณ์ภายหลังรับทราบผลการตัดสินคดีที่ดินรัชดาฯว่า ศาลได้ตัดสินครบทุกประเด็น และตนก็พอใจผลการตัดสินของศาลว่าจะเป็นมาตรฐานต่อไป และถือว่ามีประโยชน์ที่จะสามารถติดอาวุธทางปัญญาให้กับประชาชน เนื่องจากคดีนี้มี 2 ความผิดตามที่ฟ้อง คือ กรณีแรกอดีตนายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลหน่วยงานรัฐ และให้ภรรยาเข้ามาซื้อที่ดิน ใช้อำนาจหน้าที่ในทางผิด ตรงนี้ศาลยกฟ้อง ตรงนี้จริงไม่จริงไม่รู้ เพราะหลักฐานไม่ถึง

กรณีที่ 2 ที่ศาลลงโทษ ถือเป็นความผิดอีกชุดหนึ่ง คือมีผลประโยชน์ขัดกันในมาตรา 100 ของพ.ร.บ. ปปช. โดยหากจะเทียบให้เข้าใจ เช่น พระที่มีศีลห้ามร่วมกาเมกับสีกา ถือว่าผิดศีล แต่หากศีลเอาผิดไม่ได้ บางทีไปพบพระอยู่กับสีกาสองต่อสองตอนกลางคืน เราไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกันหรือไม่ แต่ทางวินัย ถือว่าอาบัติ

"ทำนองเดียวกัน กฎหมายไทยสมัยใหม่ แม้เราไม่ทราบว่าอดีตนายกฯ ใช้อำนาจช่วยภรรยาซื้อของจากรัฐหรือไม่ แต่กฎหมาย ป.ป.ช. ศาลใช้คำว่า จริยธรรมทางการเมือง ถือเป็นจุดที่ท่านตัดสินว่าจะสั่งการทางทุจริตหรือไม่ก็ตาม แต่กฎหมายห้ามไว้แล้ว ว่าเราเป็นนักการเมือง อย่าไปค้าขายกับรัฐ"

นายแก้วสรร กล่าวอีกว่า ไม่ใช่ว่าจะเป็นทางปฏิบัติ หรือไม่ปฏิบัติ แต่เป็นกรณีของศีลกับวินัย การทุจริตคอร์รัปชั่นนั้นจับกันไม่ได้ เพราะสาวไม่ถึง แต่ทางวินัยพระกับสีกาอยู่สองต่อสองตอนกลางคืนก็จะเป็นการอาบัติ

แนวทางเดียวกันเมื่อนักการเมือง ภรรยานักการเมือง มาซื้อที่ดินของรัฐ ตรงนี้ก็ถือฝ่าฝืนข้อห้าม เฉพาะฉะนั้น เมื่อฝ่าฝืนก็มีโทษของป.ป.ช. ที่จำคุกไม่เกินสองปี โดยศาลท่านตัดสินให้จำคุกสองปี ดังนั้นจึงไม่ได้ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณโกง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำผิดจริยธรรมทางการเมือง จนนำมาสู่การจำคุกสองปี ส่วนภรรยาก็ยกฟ้องไปไม่เกี่ยว ตรงนี้ถือว่า จะเป็นประวัติศาสตร์ในแง่ที่ว่า เมื่อเป็นนักการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจ อย่ามาทำอะไรที่ผิดจริยธรรมตามที่กฎหมายห้ามไว้ ดังนั้นหากฝ่าฝืน และจะมาเถียงว่าทุจริตหรือไม่ ไม่ได้

นายแก้วสรร กล่าวด้วยว่า คดีนี้เหมือนคดีของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินว่า ขาดคุณสมบัติในการเป็นนายกรัฐมนตรี ที่จัดรายการชิมไป บ่นไป ตรงนี้ถือว่าเป็นทำนองเดียวกัน คุณต้องไม่ลืมว่ารายการนั้นออกอากาศสถานีของรัฐ ถือว่าเป็นเรื่องของจริยธรรม ที่กฎหมายห้ามไว้ ไม่น่าไว้วางใจ เหมือนกับกรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่เราไม่รู้ว่าทุจริตหรือไม่ เพราะกฎหมายมีกติกาว่า เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว อย่าไปมีสัญญากับรัฐ ถ้าทำไม่ได้ก็อย่ามาสมัครเป็นนักการเมือง ดังนั้นนักการเมือง ก็อย่าไปทำอะไรที่หมิ่นเหม่ นักการเมืองต้องมีศีลธรรม วินัย ตรงนี้จะถือเป็นจุดของการเรียนรู้กฎหมาย ของประชาชน

ชี้"ทักษิณ"หมดสิทธิ์อุทธรณ์

นายอุดม เฟื่องฟุ้ง อดีตคตส.ในฐานะอดีตประธานอนุกรรมการไต่สวนคดีการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาของ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร กล่าวว่า การพิพากษาของศาลฏีกาฯเป็นไปตามข้อเท็จจริงของกฎหมาย ที่รับได้ เพราะถือว่าเป็นการกระทำผิด พ.ร.บ.ป้องกันและปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งมีโทษสูงสุด 3 ปี คำพิพากษาครั้งนี้ ถือเป็นการดำเนินคดีกับนักการเมืองคนแรกที่มีตำแหน่งสูงสุดในการบริหารงาน แต่ยังถือว่าศาลเมตตาที่ให้จำคุก 2 ปี ดังนั้นคดีนี้จะเป็นบทเรียน และกระตุ้นสำหรับนักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศว่า การมีความรู้ความสามารถเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องยึดหลักธรรมมาภิบาล มีคุณธรรมและจริยธรรมของการการเมืองที่ดีที่พึงกระทำ ไม่ใช่หวังหาผลประโยชน์เข้าตัว หรือใช้อำนาจหน้าที่ในการแสวงหาผลประโยชน์

เมื่อถามว่าพอใจผลการตัดสินครั้งนี้หรือไม่ ที่ศาลยกฟ้องคุณหญิงพจมาน นายอุดม กล่าวว่า ในคำพิพากษาของศาลก็ได้ระบุชัดเจนแล้ว การเป็นนักการเมืองจะต้องมีคุณธรรมและจริยธรรม เพื่อป้องกันไม่ให้เข้าเป็นคู่สัญญาของรัฐ การที่ศาลยกฟ้องคุณหญิงพจมาน ก็ว่ากันไปตามกฎหมาย ซึ่งทุกฝ่ายสามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะขณะนี้ถือว่า คตส.ได้ทำตามอำนาจหน้าที่อย่างสมบูรณ์แล้ว

ส่วนเรื่องที่ดินหลังจากยกฟ้อง ก็ต้องเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อ หรือผู้ขายต้องไปตกลงกันเอง โดยเฉพาะกองทุนฟื้นฟูฯ ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป หากฟังคำวินิจฉัยของศาลให้ดี ก็จะเห็นทางออก

เมื่อถามว่าขั้นตอนหลังจากนี้ จะต้องดำเนินการนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีอย่างไร นายอุดม กล่าวว่าเป็นเรื่องของอัยการคดีฝ่ายต่างประเทศ และกระทรวงการต่างประเทศ ที่จะต้องดำเนินการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน นำตัวจำเลยมาดำเนินคดี โดยคดีนี้มีอายุความ10ปี หากเจอตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ไหน ก็สามารถดำเนินการจับกุมได้ทันที

เมื่อถามว่าคดีนี้ถือเป็นผลงานชินโบว์แดงของ คตส.หรือไม่ นายอุดม กล่าวว่า อย่าบอกว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงเลย เพราะคตส.ทำตามกรอบอำนาจหน้าที่ ที่กฎหมายมอบให้ และดำเนินการเพื่อให้เกิดความชอบธรรมในสังคม ที่ต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงของกฎหมาย

ส่วนกรณีที่ทีมทนายของพ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันเตรียมที่จะยื่นอุทธรณ์ นายอุดมกล่าวว่า การพิจารณาของศาลฏีกาฯ ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดแล้ว เพราะเป็นเรื่องของข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย แต่ก็ยังพอมีช่องทางที่จะสามารถทำได้ เมื่อพบหลักฐานใหม่ที่จะสามารถนำมาหักล้างข้อมูลเก่าได้ แต่ถือว่าคดีนี้ทั้งข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ถือว่าสิ้นสุดและได้ข้อยุติแล้ว

เมื่อถามว่า คตส.ได้เสนอให้ศาลยึดทรัพย์ที่เป็นที่ดินตกเป็นของแผ่นดิน แต่ศาลยกฟ้องคุณหญิงพจมาน จะมีช่องทางในการดำเนินคดีได้ต่อไปหรือไม่ นายอุดมกล่าวว่า เป็นเรื่องของกองทุนฟื้นฟูฯ ที่จะต้องดำเนินการต่อไป คตส. ถือว่าหมดหน้าที่แล้วไม่ขอออกความเห็น

อ้างแค่ผิดกฎหมายปปช.ไม่ได้โกง

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ทางรัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะดำเนินการอะไร เคยบอกไปแล้วว่า มาเป็นผู้บริหารเรายึดมั่นในหลักกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม อันนี้ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลจะเข้าไปแทรกแซงอะไรได้ เป็นเรื่องระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณ กับกระบวนการทางศาล เป็นเรื่องส่วนตัว แต่เท่าที่ตนได้รับฟังไม่มีกรณีการทุจริต คอร์รัปชั่นอะไร เป็นเรื่องของการ ผิดกฎหมาย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เท่านั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่าในฐานะที่นายกฯเป็นน้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณ จะบอกให้กลับมาสู้คดีหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างท่านที่จะไปดำเนินการกับกระบวนการยุติธรรม เมื่อถามย้ำว่าโดยส่วนตัวนายกฯ เห็นว่าควรกลับมาหรือไม่นายสมชาย ย้อนถามว่า มันไม่มีสู้คดีแล้วนี่ครับ ศาลตัดสินไปแล้ว ผู้สื่อข่าวแย้งว่า ยังมีคดีอื่นที่จะตามมาอีกจำนวนมาก นายสมชาย กล่าวว่า เมื่อสักคู่ได้ตอบไปแล้ว

เมื่อถามว่าหากมีผู้นำประเทศต่างๆ สอบถามถึงกรณีนี้จะอธิบายอย่างไร นายสมชาย ย้อนถามว่า แล้วคิดว่าใครจะถาม เมื่อถามอีกว่าในโอกาสเจรจาทวิภาคีกับผู้นำประเทศต่างๆ หากมีการถามถึงสถานการณ์ในประเทศไทย และคดีของพ.ต.ท.ทักษิณพร้อมที่จะชี้แจงหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า ก็ได้ตอบไปแล้ว อย่าเพิ่งไปถามแทนท่านเหล่านั้น

เมื่อถามว่าการตัดสินดคีดังกล่าวของศาลจะเป็นชนวนทำให้เกิดความรุนแรง ระหว่างมวลชนที่สนับสนุน และต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ นายสมชาย ตอบว่า "ผมคิดว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องของความรุนแรง ผมไม่สนับสนุนเรื่องความรุนแรงอยู่แล้ว เรื่องนี้ขอให้เป็นเรื่องของคนที่ตกเป็นจำเลย กับเรื่องของกระบวนการยุติธรรมนะครับ เท่านี้ก็คงไม่มีปัญหา"

เมื่อถามว่า การตัดสินครั้งนี้ จะมีผลกระทบต่อรัฐบาล และพรรคพลังประชาชนหรือไม่ นายสมชาย ตอบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชนไม่มีผลอะไร

พอใจที่"หญิงอ้อ"ไม่ติดคุก

ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง รักษาการโฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า พรรคไม่วิตกเรื่องนี้ แต่เราเห็นใจพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องถูกลงโทษ แต่เราก็เคารพคำวินิจฉัยของศาล ทั้งนี้นายกฯ ต้องกำกับหน่วยงานของรัฐทุกหน่วย เพราะที่ผ่านมาเราไม่ได้เข้าใจอย่างนั้น เพราะก่อนหน้านี้เราได้ปรึกษาอัยการสูงสุดจึงได้ดำเนินการมอบหมายเรื่องนี้ แต่เมื่อศาลฎีกามองในภาพกว้าง ก็เป็นบรรทัดฐานของนักการเมือง

"ในความเสียใจ ก็พึงพอใจว่าอย่างน้อยคุณหญิงพจมาน ก็ได้รับความเป็นธรรม เพราะคุณหญิงพจมาน ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อซื้อขายที่ดินโดยความบริสุทธิ์ใจ ก็ควรได้รับความคุ้มครอง หลายคนที่ปล่อยข่าวว่า พรรคจะเกณฑ์คนเสื้อแดง มาสร้างความวุ่นวาย ตอนนี้พิสูจน์ว่า คนที่สนับสนุนทั้งสองท่าน ไม่มีการชุมนุมสร้างความสะใจ เหมือนคนกลุ่มหนึ่งที่เข้าไปชุมนุมแน่นทำเนียบฯ เพียงเพราะอยากแสดงความสะใจ เหมือนฆาตกรรมที่โหดร้าย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เมื่อเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งได้รับโทษ ก็ควรเห็นใจ แต่นี่แสดงความสะใจ แต่คนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ กลับอยู่ในอาการสงบ เรียบร้อย" รท.กุเทพกล่าว

นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รองโฆษกพรรคพลังประชาชน และส.ส.นครราชสีมา กลุ่มเพื่อนเนวิน กล่าวว่า เมื่อมีคำตัดสินออกมาก็ต้องยอมรับ คิดว่าขั้นตอนต่อไปที่ทางการไทยต้องทำก็คือ จะให้ทางอัยการยื่นขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจากประเทศอังกฤษ โดยอ้างว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ต้องคำพิพากษาแล้วเป็นนักโทษ ที่ไม่ใช่คดีการเมือง ซึ่งตนขอแย้งว่า ถ้าอ้างเหตุผลอย่างนั้น ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณนี้ขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ดูแค่นี้ก็รู้อยู่แล้วว่า เป็นคดีการเมือง ก็เชื่อว่าทางอังกฤษคงพิจารณา ไม่ส่งตัวพ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาไทยแน่นอน

ต้องขอตัวทักษิณผู้ร้ายข้ามแดน

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า รัฐบาลที่มีความรับผิดชอบหลายอย่าง ทั้งความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและการขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศ ซึ่งรัฐบาลจะต้องแสดงความชัดเจนมากขึ้นว่าจะทำอย่างไร ฉะนั้นตรงนี้อาจทำให้สถานการณ์ยังไม่นิ่งในแง่ของบ้านเมือง เพราะเป็นความรับผิดชอบรัฐบาลที่ต้องดำเนินการ

เมื่อถามว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี จะต้องออกมาแสดงท่าทีต่อเรื่องเหล่านั้นชัดเจนหรือไม่ ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวว่า ในส่วนรัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบ และการที่รัฐบาลพูดโดยเอาเงื่อนเวลามาผูกติดกับส.ส.ร.นั้น ตนเห็นว่าไม่มีเหตุผลใดมารองรับ แต่ส่วนที่จะขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณมาดำเนินคดี รัฐบาลต้องแสดงให้เห็นชัดว่า มีการดำเนินการอย่างจริงจัง เพราะที่ผ่ามายังไม่มีการขยับเรื่องนี้ ทำให้เกิดความคลางแคลงใจ

No comments: