Thursday, October 23, 2008

เจ้าหน้าที่ตำรวจ คุณยิงอะไรใส่ประชาชน???

เหตุการณ์นองเลือดในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ผ่านมา 10 กว่าวันโดยที่ยังไม่มีฝ่ายใดออกมารับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น อย่างดีที่สุดก็เพียงตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อประวิงเวลา แม้ว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะมีข้อสรุปออกมาแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีความรับผิดชอบใดๆ จากผู้นำรัฐบาล

ขณะที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 2 รายกำลังรอความยุติธรรมที่จะมาถึง (เมื่อไหร่?) ผู้บาดเจ็บอีกจำนวนมากจากเหตุการณ์วันนั้นก็ใช่จะพ้นวิบากกรรมอย่างที่ใครๆ คิด

ล่าสุด จากการเปิดเผยของหน่วยแพทย์พันธมิตรฯ ที่คอยติดตามดูแลผู้บาดเจ็บทุกคนระบุว่า บาดแผลที่เกิดจากการถูกสะเก็ดระเบิดแก๊สน้ำตาจีนแดง (ตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวอ้าง) เกิดการติดเชื้อและอักเสบ โดยที่ทางหน่วยแพทย์พันธมิตรฯ ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร

ประเด็นสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือการสรุปทางนิติเวชของ แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ที่ว่าการเสียชีวิตของ น้องโบว์-อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ เกิดจากระเบิดแก๊สน้ำตาจีนแดง อาจยังไม่ใช่ข้อสรุปที่ถูกต้องครบถ้วน เมื่อทางหน่วยแพทย์ของพันธมิตรฯ มีหลักฐาน พยาน ที่ชวนให้คิดว่าสิ่งที่ตำรวจยิงเข้าใส่ฝูงชนนั้นเป็นแค่ระเบิดแก๊สน้ำตาจริง หรือไม่ หรือว่าต้องการตัดตอนให้กระแสหยุดอยู่ที่ความผิดพลาดของระเบิดแก๊สน้ำตาจีน แดงที่หมดอายุเท่านั้น

1

ข้อมูลจากหน่วยแพทย์พันธมิตรฯ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสะพานมัฆวานฯ และทำเนียบฯ จำนวน 9 จุด ประมาณว่ามีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม ทั้งที่บาดเจ็บสาหัสและบาดเจ็บเล็กน้อยรวมกันประมาณ 700-800 คน เพราะนอกจากบาดแผลแล้ว ยังมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากที่เกิดจากแก๊สน้ำตาที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองตา จมูก และระบบทางเดินหายใจ ซึ่งยังมีบางส่วนที่เกิดอาการแพ้อยู่

ขณะที่ผู้ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดมีอาการที่น่ากลัวกว่า เพราะแผลเกิดการติดเชื้อและมีอาการเน่าเนื่องจากเนื้อตาย นายแพทย์วิษณุ ทรัพย์ปรุง อธิบายว่า

“แผลที่เกิดจากแก๊สน้ำตาจีนแดง พวกนี้เมื่อตกแล้วจะระเบิด สะเก็ดส่วนหนึ่งจะฝังลงไปในร่างกาย โดยทั่วไปจะฝังลึกลงไปประมาณ 1 เซนติเมตร มากที่สุดไม่เกิน 2 เซนติเมตร อยู่ตรงบริเวณผิวหนังชั้นไขมัน นานๆ จะเจอสักรายที่ลึกลงไปถึงกล้ามเนื้อ

“พวก นี้ส่วนใหญ่แผลจะเป็นจุดประมาณหัวไม่ขีดไฟหรืออย่างมากที่สุดไม่เกิน 1 เซนติเมตร ผลสำคัญของมัน สาเหตุแรกคือความร้อนเพราะเป็นวัตถุระเบิด ทำให้เนื้อเยื่อตาย สองคือแรงกระแทกที่เข้าไป การที่สารเคมีที่เราไม่ทราบว่าคืออะไรเข้าไปในร่างกาย ทำให้มีปฏิกิริยา ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ มันรวมกันแล้วทำให้เกิดผลต่อเนื้อเยื้อ ทำให้เนื้อเยื่อในบริเวณนั้นตาย พอเรามาตัดไหม แผลข้างในก็จะกลวงโบ๋เพราะเนื้อมันเน่า ซึ่งแผลเย็บ แผลแตกทั่วไปจะไม่เป็นอย่างนี้”
คุณหมอเล่าว่าบาดแผลที่ต้องเย็บโดยปกติ เมื่อผ่านไป 3-5 วันก็สามารถแกะไหมออกได้ แต่แผลที่เกิดจากสะเก็ดในเหตุการณ์นี้กลับติดเชื้อโดยที่ทางแพทย์ยังไม่ สามารถสันนิษฐานได้ว่าเป็นเพราะอะไร สอบถามไปยังแพทย์ตามโรงพยาบาลต่างๆ ก็ไม่มีใครสามารถตอบได้ เนื่องจากไม่มีแพทย์คนใดที่มีความรู้เกี่ยวกับอาวุธสงคราม ทำให้การรักษาที่ทำได้คือการรักษาไปตามอาการ

“ผม เคยสอบถามตำรวจผ่านเอเอสทีวีไปหลายครั้งแล้ว วิงวอนถามเขาว่าคุณใช้อะไร ให้บอกเราด้วย เราจะได้ให้วิธีการรักษาคนไข้ที่ถูกต้อง ขอให้นึกถึงมนุษยธรรม แต่ก็ยังไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา”


2


ประเด็นสำคัญที่นายแพทย์วิษณุต้องการให้มีการสอบสวนให้กระจ่างชัดก็ คือประเด็นการเสียชีวิตของน้องโบว์ ที่มีการระบุว่าเป็นเพราะระเบิดแก๊สน้ำตาจีนแดง


“ประเด็นหนึ่งที่เราต้องการจะอภิปรายกันในเชิงวิชาการว่ามันคืออะไร ไม่ได้มีเจตนาจะให้ร้ายใครทั้งนั้น จากประสบการณ์ที่ผมทำแผลคนไข้วันหนึ่งไม่ต่ำกว่า 100 รายในเต็นท์ของผม และเพื่อนๆ แพทย์ในเต็นท์อื่นๆ ด้วย สิ่งที่เราพบก็คือแผลที่เกิดจากระเบิดแก๊สน้ำตา สะเก็ดของมันจะเข้าไปลึกประมาณ 1 เซนติเมตร อย่างมากไม่เกิน 2 เซนติเมตร มันไม่สามารถทำให้เกิดการสูญเสียอวัยวะใดๆ ได้ โดยเฉพาะเมื่อรวมกับคำยืนยันจากทางการจีนว่าระเบิดแก๊สน้ำตาของเขาไม่ทำให้ คนบาดเจ็บ สูญเสียอวัยวะและชีวิต ทำให้เราเชื่อว่าทางตำรวจน่าจะใช้ระเบิดอย่างอื่นที่ไม่ใช่ระเบิดแก๊สน้ำตา จีนแดง น่าจะเป็นอาวุธสงคราม”


สิ่งที่ทำให้นายแพทย์วิษณุและเพื่อนนายแพทย์ตั้งสมมติฐานดังกล่าว เนื่องจากมีผู้บาดเจ็บ 2 คนที่ถูกระเบิดแก๊สน้ำตาตกบนลำตัวและเกิดระเบิด แต่คนทั้งสองกลับไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นสูญเสียอวัยวะหรือเสียชีวิต


“ผม มีคนไข้ 2 รายที่ถูกระเบิดแก๊สน้ำตาตกใส่ตัว คนหนึ่งหมอบคว่ำอยู่ ระเบิดแก๊สน้ำตาตกลงกลางหลัง คนไข้คนนี้ยืนยันว่าเขารู้สึกแสบร้อนทั้งหลัง จุกสักครู่หนึ่ง แล้วก็สามารถวิ่งไปรถพยาบาล โดยที่ไม่มีอวัยวะอะไรสูญหายหรือกระดูกซี่โครงหักเลย อีกคนหนึ่งโดนระเบิดแก๊สน้ำตาระเบิดบริเวณท้อง เขาก็สามารถวิ่งไปรถพยาบาลได้เอง ไม่มีการสูญเสียอวัยวะใดๆ ทั้งสิ้น


“ขณะที่น้องโบว์มีผลพิสูจน์ทางการแพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดียืนยัน ว่า มีแผลไฟไหม้อย่างรุนแรง ตลอดตั้งแต่หัวไหล่สองข้างถึงท้องน้อย กระดูกซี่โครงด้านซ้ายทั้ง 12 ซี่หักหมด ตับและม้ามแตก ปอดฉีกขาด และหัวใจทะลุโดยไม่มีแผลทางเข้า ซึ่งการที่หัวใจจะทะลุได้เกิดได้ 2 กรณีคือ หนึ่ง-โดนวัตถุมีคมแทงทะลุ อีกวิธีหนึ่งคือการโดนแรงอัดสูงๆ น้องโบว์เสียชีวิตจากแบบหลังนี้”


เกิดเป็นข้อคลางแคลงว่าระเบิดที่ตำรวจใช้สาธิตให้แพทย์หญิงคุณหญิงพร ทิพย์ชม กับระเบิดที่ใช้ในการสลายการชุมนุมวันนั้นเป็นระเบิดแก๊สน้ำตาจีนแดงเหมือน กันหรือไม่


“การ ที่ตำรวจอ้างว่าไม่รู้มาก่อนว่าระเบิดแก๊สน้ำตาจีนแดงจะรุนแรงแบบนี้ก็ไม่ เป็นความจริง เพราะวันที่ 29 สิงหาคม พันธมิตรฯ ไปประท้วงอยู่ที่หน้า บช.น. (กองบัญชาการตำรวจนครบาล) ตำรวจก็ได้ระดมยิงแก๊สน้ำตาจีนแดงใส่เราแล้วครั้งหนึ่ง ผมยืนยันได้จากลักษณะการตกเหมือนกันคือตกแล้วระเบิดมีเสียงดังบึ้ม ขณะที่ระเบิดแก๊สน้ำตาที่ทำจากยุโรปหรืออเมริกา ตกแล้วจะพ่นควันออกมาเฉยๆ บาดแผลของผู้ที่โดนสะเก็ดระเบิดในวันที่ 29 สิงหาคม เหมือนกันทุกประการกับคนที่โดนสะเก็ดระเบิดในวันที่ 7 ตุลาคม แต่เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมนั้น มีแต่คนบาดเจ็บ ไม่มีคนสูญเสียอวัยวะหรือเสียชีวิต ฉะนั้น ถ้าในวันที่ 29 สิงหาคมเป็นระเบิดแก๊สน้ำตาจีนแดงอย่างเดียว ก็น่าจะมีคนบาดเจ็บเสียชีวิตด้วยเพราะก็มีการยิงใส่ฝูงชนเหมือนกัน เรายังมีหลักฐานอีกประการหนึ่งคือรถพยาบาลของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งโดนระเบิด แก๊สน้ำตาจีนแดงยิงเข้าใส่ แต่มีรอยบุบแค่นิดเดียว ไม่ทะลุ”


นายแพทย์วิษณุตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจว่า


“ขั้น ตอนในการชันสูตรตามหลักนิติเวช ขั้นที่ 1 คือการตรวจศพ ซึ่งทุกครั้งคุณหมอพรทิพย์จะทำด้วยตัวเองเสมอซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ครั้งนี้คุณหมอไม่ได้ตรวจศพน้องโบว์


“ขั้นตอนที่ 2 การตรวจที่เกิดเหตุ คุณหมอพรทิพย์ไปทำจริง แต่การชี้ที่เกิดเหตุโดยหลักการควรเป็นคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ วันนั้นน้องโบว์ไปกับคุณแม่และน้องสาวอีก 2 คน คุณแม่กับน้องสาวคนหนึ่งอยู่ในโรงพยาบาล แต่อีกคนหนึ่งสามารถเดินเหินได้ ทำไมคุณหมอพรทิพย์ไม่ให้น้องสาวของน้องโบว์ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ไปชี้ที่เกิด เหตุ และก็ไม่ได้ติดต่อมาทางพันธมิตรฯ ให้ไปชี้ที่เกิดเหตุเลย ผมจึงต้องตั้งข้อสันนิษฐานเอาเองว่าคุณหมอพรทิพย์อาจจะขอให้ตำรวจไปชี้ที่ เกิดเหตุ ซึ่งถ้าตำรวจต้องการให้เรื่องมันจบแค่แก๊สน้ำตาจีนแดง ตำรวจก็อาจจะจงใจพาไปชี้ที่เกิดเหตุ ณ จุดอื่น ทำให้คุณหมอตรวจแล้วไม่พบสารวัตถุระเบิด


“ขั้นตอนที่ 3 การตรวจพยานแวดล้อม เช่น คนที่มีบาดแผลทั้งหมดในหลายๆ ลักษณะ คนที่แขนขาขาด และคนที่โดนแก๊สน้ำตาจีนแดงจริงๆ ซึ่งอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆ มากมาย รวมทั้งการซักถามข้อมูลจากคนเหล่านั้น ขั้นตอนนี้คุณหมอพรทิพย์ไม่ได้ทำเลย


"ขั้นตอนที่ 4 เมื่อทำ 3 ขั้นตอนข้างต้นแล้วก็ต้องมาสรุป ตั้งข้อสมมติฐานว่าอาวุธอะไรบ้างที่ทำให้เกิดบาดแผลและเสียชีวิตแบบน้องโบว์ เมื่อคุณหมอไม่ได้ทำขั้น 1-3 ให้สมบูรณ์ คุณหมอพรทิพย์ก็ไม่สามารถจะสรุปได้ว่าเกิดจากอะไร คุณหมอพรทิพย์ก็ข้ามไปทำขั้นที่ 5 เลยคือการทดลองอาวุธ โดยหลักการแล้วเราจะต้องทำการทดลองอาวุธทุกชนิดที่มีความเป็นไปได้ แต่คุณหญิงกลับทำการทดลองเพียงระเบิดแก๊สน้ำตาจีนแดง แล้วสรุปทันทีว่าเมื่อมันทำให้เหล็กและกิ่งไม้ฉีกขาดได้ น้องโบว์ก็น่าจะเสียชีวิตจากสิ่งนี้ ซึ่งไม่สมเหตุสมผล เพราะยังมีอาวุธอื่นๆ อีกมากที่ทำให้เหล็กทะลุหรือกิ่งไม้หักได้”

ทางคุณหมอวิษณุจึงเรียกร้องไปยังแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ด้วยความเคารพว่า “อยากให้คุณหมอติดต่อมายังพวกเราเพื่อคุยกันในฐานะแพทย์ ช่วยกันทำความชัดเจนให้ออกมา”

3


พี่อุ๋ย–พี่สาวผู้มาร่วมชุมนุมจากโคราช โดนสะเก็ดระเบิดตอนเย็นวันที่ 7 ตุลา ที่หน้า บช.น. พี่อุ๋ยเล่าว่าตอนนั้นเห็นเหมือนมีอะไรลอยลงมา...


“ตั้งแต่ตอนเช้าแล้วที่เราวิ่ง เราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นระเบิดอะไร เราก็หลบ พี่นั่งหลบด้านข้าง อยู่ใกล้ๆ นั่นแหละ พอมันลงตู้ม! ปุ๊บ พี่รู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ที่ขา... นั่นแหละ พอวันที่ 9 พี่กลับไปล้างแผลที่บ้าน ก็ไม่นึกว่าจะเป็นอะไรมาก แล้วเมื่อวันอาทิตย์พี่มาที่พันธมิตรฯ พอหมอเปิดแผลดู หมอบอกว่ายังมีสะเก็ดที่เอาออกไม่หมด มันยังค้างอยู่ ก็ต้องเปิดแผล แล้วคว้านเอาสะเก็ดออก แล้วแผลใหญ่ตรงหน้าแข้ง มันมีสารเคมีด้วย ก็เลยต้องคว้านเนื้อออก ถ้าปล่อยไว้มันก็จะเน่าไปเรื่อยๆ ต้องคว้านให้สารเคมีออกหมด แล้วก็ทำแผล ตอนนี้ต้องรอขูดแผลใหญ่ตรงหน้าแข้งด้านขวา แผลด้านซ้ายรอเย็บ อีกแผลเย็บแล้วเมื่อคืน ก็เหลืออีกแผลเดียวที่ต้องขูด ไม่รู้ว่าจะหายตอนไหน ตอนที่พี่ล้างแผล พี่ก็เห็นผู้ป่วยรายอื่นๆ ที่แผลติดเชื้อมารักษา บางคนโดนที่ขา บางคนโดนที่หลังเท้า บางคนโดนที่ก้น พี่เห็นเขาต้องคว้านเนื้อออกเยอะมาก แผลใหญ่มากเลยค่ะ”


ด้าน ลุงประทีป ศรีเรือง ผู้ร่วมชุมนุมจากสุพรรณบุรี โดนสะเก็ดระเบิดวันที่ 7 ตุลา ช่วงประมาณห้าโมงเย็น ลุงประทีปบอกว่า...

“ผมโดนระบิดครับ, มันลงมาข้างหลังแล้วมันกระเด็น มันก็ไม่มีควันมาก ก็เข้าใจว่าคงเป็นระเบิด แต่เป็นระเบิดประเภทไหนก็ไม่ทราบ ถ้าเป็นแก๊สมันต้องมีควันมาก แล้วเราต้องสำลัก แต่นี่มันไม่มี ถึงมีมันก็ไม่มาก ผมโดนสะเก็ดระเบิดตรงช่วงหลังสี่แผล ตอนนี้ก็คว้านเนื้อออกไปสามครั้งแล้ว แผลที่เย็บไปแล้วก็ต้องถูกตัดใหม่อีก ตัดไหมออก แล้วจะคว้านใหม่ก็รออาจารย์หมอมาคืนนี้อีกที ส่วนแผลที่ขาซ้ายก็หนักครับ ผมเย็บมาจากโรงพยาบาลวชิระ แต่ที่ขารู้สึกว่าจะดีขึ้น แต่เป็นปัญหาที่ข้างหลัง เพราะเย็บแล้วก็คว้านเนื้ออีก, คว้านเนื้ออีกหลายครั้ง บางทีเรารู้สึกว่าเรี่ยวแรงเราต้านทานไม่ไหว ปวดมากๆ เลยครับ”

ลุงประทีปบอกว่า ตอนแรก วันที่ 7 ตุลา ไม่ได้เอาสะเก็ดระเบิดออก แค่ทำแผล แต่พอผ่านไปประมาณห้าวัน แผลก็เริ่มเน่าเสีย พอแผลเน่าเสียก็ต้องคว้านเนื้อออก


“คว้านไปทุกแผลก็เจอสะเก็ดทุกแผลเลย ที่แย่ที่สุดก็คือ มันทิ้งมาหลายวันแล้วมันเป็นหนอง เนื้อเสียมาก ก็เลยคว้านลึก ลึกไปจนถึงเส้นเลือด ทำแผลแล้วก็ต้องกลับมาทำอีก เพราะเลือดออกไม่หยุด ก็ต้องกลับมาเย็บห้ามเลือด ตอนแรกที่เขาไม่ได้เอาสะเก็ดระเบิดออกเพราะมันมองไม่เห็น แล้ววันที่ 7 คนไข้ก็เยอะด้วย ทีนี้เศษสะเก็ดมันก็มองยาก แต่บางทีก็ต้องรอแพทย์เฉพาะทาง จนมันอักเสบขึ้นมา ขนาดเราเองเราก็คิดว่าคงไม่เกินหนึ่งอาทิตย์หรอกเดี๋ยวก็หาย แต่ปรากฏว่าพอหนึ่งอาทิตย์มันหนักขึ้นมา จากแผลเท่านิ้วก้อยมันก็ใหญ่เท่านิ้วโป้ง เท่ากำปั้น มันก็ทำให้ใจเราเสียเหมือนกัน”


ความจริงลุงประทีปได้กลับไปรักษาตัวที่บ้านแล้ว แต่ก็ต้องกลับมาที่พันธมิตร


“ผม เป็นห่วงทางนี้ เพราะได้ยินว่าจะมีคนเข้ามาบุก ก็มาช่วยกัน ถึงแม้สภาพร่างกายของผมตอนนี้จะทำอะไรไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยที่สุด ผมก็มาเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ ต่อสู้ ถึงจะเจ็บปวดทรมานเพียงใดผมก็ทนได้ เพื่อชาติ ผมไม่หนีอยู่แล้ว”


************


นายแพทย์อากาศ พัฒนเรืองไล หัวหน้ากลุ่มงานพยาธิวิทยา โรงพยาบาลราชวิถี ชี้แจงว่าขณะนี้มีคนไข้ที่ได้รับบาดเจ็บถูกสะเก็ดระเบิดแก๊สน้ำตายังคงพัก รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลราชวิถีอยู่ 2 ราย และมีอาการดีขึ้นแล้ว แต่จากข่าวที่พบว่ามีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยหลายรายเกิดอาการบาดแผลติด เชื้อเพิ่มขึ้นนั้น ส่วนตัวคิดว่ามีได้หลายสาเหตุ คืออาจจะมีเศษวัสดุแปลกปลอมอะไรบางอย่างตกค้างอยู่ในบาดแผล นอกเหนือจากสารเคมีหรือสะเก็ดระเบิดแก๊สน้ำตาก็ได้ ต้องพิจารณาตรวจดูจากบาดแผลอีกทีหนึ่ง


“แต่ถ้าหากมีสารเคมีปนเปื้อนบาดแผลอยู่จริง การสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาก็ย่อมไม่ปกติ เพราะอาจส่งผลให้มีการชะลอหรือทำให้การซ่อมแซมของเนื้อเยื่อผิดปกติไปได้ อะไรที่เป็นสารแปลกปลอมจะมีผลต่อการหายของเนื้อเยื่ออยู่แล้วโดยสภาพ เช่น อาจจะมีเศษวัสดุแปลกปลอม สารเคมี พวกนี้มีผลทั้งนั้น หรืออีกอย่างหนึ่งคือความร้อน ความร้อนที่เกิดขึ้นมันทำลายเนื้อเยื่อได้เหมือนกัน เวลาที่โดนวัตถุหรือเศษวัสดุที่มีความเร็วสูง มีความร้อนสูงจะทำลายเนื้อเยื่อได้ ทำให้เนื้อบริเวณนั้นตาย


“กรณี แผลที่ไม่หาย ยังมีอาการเจ็บอยู่ มีการปวดบวมแดงร้อนอยู่ เป็นอาการของการอักเสบ ต้องรีบให้หมอตรวจดู เพราะบางทีถึงปากแผลจะปิดแล้ว แต่ถ้าเกิดมีอาการปวดบวมแดงร้อนบริเวณนั้น หมายถึงว่าข้างใต้ยังมีการอักเสบหรือติดเชื้ออยู่ ก็ต้องเปิดสะเก็ดแผลด้านบนออก แล้วพยายามเอาส่วนที่มีการติดเชื้อหรือเนื้อเยื่อที่ตายออก เพราะวิถีการทำลายของวัตถุหรืออาวุธบางประเภทมันก็จะมีลักษณะแบบนี้ คือปากแผลเล็กนิดเดียวแต่ข้างล่างมันลงไปลึก” ซึ่งบาดแผลลักษณะนี้อันตรายกว่าแผลภายนอกที่เห็นได้ชัดเจน เพราะแพทย์ต้องทำการเปิดปากแผลให้กว้าง และล้างแผลให้ทั่วถึง แพทย์โรงพยาบาลราชวิถีจึงแนะนำว่า ผู้ป่วยที่มีอาการดังนี้ คือปวดบวมแดงร้อนบริเวณบาดแผล หรือมีไข้เนื่องจากเกิดอาการติดเชื้อ ไม่ควรล้างแผลด้วยตนเอง แต่ควรมาพบแพทย์ดีที่สุด


“ยาลดการอักเสบบางอย่าง เช่น ประเภทที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ไม่ควรจะใช้ บางคนเอาครีมที่มีสเตียรอยด์มาทายิ่งติดเชื้อไปกันใหญ่ เพราะร้านขายยาบางร้านคิดว่าช่วยลดอาการอักเสบ แต่ที่จริงแล้วกลับทำให้การติดเชื้อยิ่งรุนแรงมากขึ้น”


นายแพทย์อากาศแนะนำว่า ผู้ที่มีบาดแผลจากการโดนสะเก็ดระเบิดแก๊สน้ำตาในวันที่ 7 ตุลาคม ควรบอกรายละเอียดที่มาของบาดแผลให้แพทย์ที่ทำการตรวจรักษาทราบ เพื่อจะได้ทราบประวัติและตรวจวินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง


*************


นิทรรศการ 7 ตุลา

“ไม่ใช่แค่ผู้บาดเจ็บ แต่หมายถึงครอบครัวด้วย”
ฐิติกานต์ มามาศ อาสาสมัครพันธมิตรฯ

“คุณพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ อยากจะให้มีนิทรรศการ และควรที่จะเผยแพร่ความรู้ให้เร็วที่สุด คิดว่าประมาณอาทิตย์หนึ่งคงจะได้ โดยจะมีหลายกลุ่มเข้ามาช่วยกัน ทั้งกลุ่มแพทย์ กลุ่มยังแพด เนื้อหาหลักๆ จะเป็นการเผยแพร่ในเชิงวิชาการเกี่ยวกับวัตถุระเบิด บาดแผล วิธีการรักษา


“สถานที่ก็จะเป็นที่นี่ แต่อาจจะมีหลายจุด เมื่อได้นิทรรศการและเผยแพร่ภายในแล้ว เราก็อยากจะเผยแพร่ในรูปการทำหนังสือ ซึ่งอาจจะต้องลงลึกในรายละเอียด เราอยากทำทำเนียบผู้บาดเจ็บ เพราะเราอยากจะรู้ว่าผู้บาดเจ็บมีกี่ประเภท วิธีการรักษาในแต่ละประเภท แก๊สน้ำตามีกี่ประเภท ประเภทไหนที่ทำให้คนบาดเจ็บได้ โดยเราประสานงานกับผู้บาดเจ็บอยู่แล้ว เราต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้บาดเจ็บในกรณีต่างๆ ทางคุณพิภพจะเป็นผู้ดูแลในส่วนนี้ เงินที่ได้มาจะมาจากการบริจาค ส่วนในแง่กฎหมายเราก็จะนำข้อมูลตรงนี้ไปเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่จะใช้ประกอบ การดำเนินคดี


“ผล กระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ได้รับบาดเจ็บมีหลายรูปแบบและกระทบต่อเนื่องเป็นลูก โซ่ อย่างเมื่อวานเราไปเยี่ยมพี่ตี๋ที่เป็นวินมอเตอร์ไซค์บาดเจ็บขาขาด ไม่ใช่คนที่เป็นศิลปิน ตอนนี้เรื่องของแผลก็ติดเชื้อ ภรรยาก็กำลังจะตกงานเนื่องจากหยุดลาพักร้อนมาเกินกำหนดแล้ว เพราะเขาทิ้งพี่ตี๋ไว้ไม่ได้ต้องมาดูแล อนาคตเขาคิดว่าคงตกงานแน่นอน ลูกเขาอีกที่ต้องจ้างคนเลี้ยง มันไม่ใช่แค่เรื่องของผู้บาดเจ็บอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องครอบครัวด้วย”

No comments: