Monday, October 27, 2008

นาย ทักษิณ ชินวัตร


การ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ถนนรัชดาภิเษก มูลค่า 772 ล้านบาท ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100 และ 122 ไม่เพียงแต่เป็นเหตุสำคัญที่จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณถูกเรียกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.) หรือเทียบเท่าชั้น "เจ้าพระยา" ที่ได้รับพระราชทานคืนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระ บรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ.2548 เท่านั้น แต่ ยังเป็นเหตุสำคัญที่จะทำให้ถูกถอดยศ "พันตำรวจโท" ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 และระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547 ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 นั้น กำหนดเรื่องการ "ถอดยศ" นายตำรวจชั้นสัญญาบัตรไว้ในมาตรา 28 และ 29 ดังนี้ มาตรา 28 การถอดหรือการออกจากยศตำรวจชั้นสัญญาบัตร ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และให้ทำโดยประกาศพระบรมราชโองการ มาตรา 29 การให้ออกจากว่าที่ยศตำรวจชั้นสัญญาบัตรหรือการถอดหรือการออกจากยศตำรวจชั้น ประทวน ให้ผู้มีอำนาจสั่งตามมาตรา 26 วรรคสาม หรือมาตรา 27 แล้วแต่กรณี สั่งได้ตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากมาตรา 28 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้ออก "ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547" มี พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น เป็นผู้ลงนามและประกาศ ณ วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2547 มีรายละเอียดดัง นี้ "เนื่องจากผู้ที่ดำรงอยู่ในยศตำรวจ สมควรจะประพฤติหรือวางตนให้เหมาะสมแก่เกียรติศักดิ์ มิฉะนั้น ย่อมเป็นทางนำความเสื่อมเสียมาสู่หมู่คณะ โดยเหตุผลดังกล่าว หากผู้ใดประพฤติหรือวางตนให้เหมาะสมแก่เกียรติศักดิ์ไม่ได้ ก็ไม่สมควรจะดำรงอยู่ในยศตำรวจต่อไป อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11(4) มาตรา 28 และมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 วางระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 การเสนอขอถอดยศตำรวจทั้งแก่ผู้ที่อยู่ในราชการตำรวจ และที่พ้นจากราชการตำรวจไปแล้ว ให้กระทำได้เมื่อมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง อาทิ (1) ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดว่าทุจริตต่อหน้าที่ราชการ แม้ศาลจะพิพากษารอการกำหนดโทษ หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้ก็ตาม (2) ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุก เว้นแต่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท (3) ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย เพราะก่อให้เกิดหนี้สินขึ้นโดยทุจริต (6) ต้องหาในคดีอาญาแล้วหลบหนีไป สำหรับผู้ที่มิได้อยู่ในราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ข้อ 2 หน้าที่ความรับผิดชอบในการพิจารณาและดำเนินการถอดยศตำรวจ (1) ข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร ให้กองวินัย หรือผู้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบอำนาจในการดำเนินการทางวินัยมีหน้าที่รับผิด ชอบในการพิจารณาว่า ผู้ใดมีเหตุที่จะต้องดำเนินการถอดยศตามข้อ 1 ก่อนเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาถอดยศ (2) ข้าราชการตำรวจชั้นประทวนให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งยศเป็นผู้รับผิดชอบในการ พิจารณาว่า ผู้ใดมีเหตุที่จะต้องดำเนินการถอดยศตามข้อ 1 แล้วดำเนินการสั่งถอดยศ พร้อมทั้งรายงานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผ่านกองทะเบียนพล) ทราบ จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เห็นชัดแล้วว่า พฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าเหตุตามระเบียบทั้ง 2 ข้อ 2 ประการ จึงอยู่ที่ว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบหรือไม่ ถ้าไม่ดำเนินการจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่" ถึงที่สุด คงต้องดูที่ผลว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะมีสถานะเพียง "นายทักษิณ ชินวัตร" หรือไม่ ที่มา มติชน

No comments: