Tuesday, October 28, 2008

สมชาย–บิ๊กจิ๊ว ตัวการสั่งฆ่าประชาชน

คกก.สิทธิเผยผลสอบ 7 ตุลาเลือดฉบับสอง ตร.ระดับสูงคายความลับซัด “สมชาย–บิ๊กจิ๊ว” ตัวสั่ง ตร.เข่นฆ่าประชาชน ยันผลสอบแก๊สน้ำตามีเชื้อระเบิดส่งผลให้คนเจ็บล้มตายเกลื่อน ประณามตั้ง 3 ข้อหาฉกรรจ์ โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

วันนี้ (28 ต.ค.) นายสุรสีห์ โกศลนาวิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน 1 เปิดเผยว่า วันนี้คณะอนุกรรมการได้รายงานผลการตรวจสอบกรณีการสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ด้านการตรวจพิสูจน์ทางนิติเวชและนิติวิทยาศาสตร์ ให้คณะกรรมการสิทธิฯ รับทราบ ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นว่า เพื่อให้เกิดความรอบคอบ สมควรสอบปากคำพยานเพิ่มเติมในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจาก การสลายการชุมนุมด้วย ซึ่งคณะอนุกรรมการจะดำเนินการโดยทันที

“เหตุผลที่ยังไม่สามารถเปิดเผยสอบวันนี้ได้ เพราะกรรมการต้องการให้รายงานผลการสอบสวนเป็นไปด้วยความรอบด้านและรอบคอบ ไม่ใช่เป็นเพราะเกรงกลัวเสียงวิจารณ์จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลัง ประชาชนที่ออกมาโจมตีการทำงานของคณะกรรมการสิทธิว่าต้องการตรวจสอบรัฐบาล ฝ่ายเดียว” นายสุรสีห์ กล่าว

นายสุรสีห์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ยอมรับแล้วว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสั่งการให้มีการสลายการ ชุมนุม อีกทั้งจากการสอบปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงก็ยอมรับว่าได้รับการสั่งการ จากฝ่ายการเมืองและจากการประมวลเหตุการณ์ สอบสวนผู้เกี่ยวข้อง ทำให้กรรมการสิทธิฯ สรุปผลสอบชิ้นแรกว่า รัฐบาลนายสมชายต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์สลายการชุมนุม

นายสุรสีห์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้ให้ฝ่ายเลขานุการทำหนังสือเชิญนายสมชายมาให้ปากคำ แต่ปรากฏว่า นายชูศักดิ์ ศิรินิล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี แจ้งว่านายสมชายประสงค์จะทำหนังสือชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งคณะกรรมการก็จะรอหนังสือชี้แจงดังกล่าวเพื่อประกอบรายงานสอบสวน

แหล่งข่าวจากสำนักงานสิทธิฯ เปิดเผยว่า คณอนุกรรมการได้สรุปผลการตรวจสอบการสลายการชุมนุมด้านการตรวจพิสูจน์ทางนิติ เวช และนิติวิทยาศาสตร์ จำนวน 8 หน้า พร้อมกับประมวลภาพบาดแผลของผู้ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต จากความรุนแรงของระเบิดแก๊สน้ำตาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ในการสลายการชุมนุม บันทึกเป็นแผ่นซีดีแจกจ่ายในที่ประชุม

สำหรับผลการสอบสวนยอนุกรรมการ ระบุว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม แบ่งเป็น ประเด็นแรก การบาดเจ็บ และเสียชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นผลโดยตรงมาจากการใช้แก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุมหรือไม่ คณะอนุกรรมการมีความเห็นว่า ประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสส่วนใหญ่ให้ถ้อยคำยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนได้ใช้อาวุธระดมยิงระเบิดแก๊สน้ำตาและขว้างระเบิดแก๊ส น้ำตาเข้าใส่ประชาชนโดยตรง จนเป็นเหตุให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ บาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตดังกล่าว ประกอบกับมีวัตถุพยานที่เป็นภาพถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึงการใช้อาวุธปืนยิงระเบิดแก๊สน้ำตาในระยะใกล้ โดยเล็งยิงแนวราบที่มีเป้าหมายคือประชาชนที่มาร่วมชุมนุม หรือแม้เป็นการยิงในวิถีโค้งจากพื้นสู่อากาศ และตกลงสู่พื้นดิน แต่ก็ยังเป็นการยิงในระยะใกล้

ประเด็นที่สอง ระเบิดแก๊สน้ำตาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ยิงและขว้างเข้าใส่ประชาชนเพื่อสลาย การชุมนุมนั้น สามารถทำอันตรายแก่ร่างกายและชีวิตของประชาชนได้หรือไม่ พิจารณาแล้ว จากผลการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ของแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สรุปได้ว่า แก๊สน้ำตาทั้งสองชนิดมีองค์ประกอบเป็นเชื้อปะทุทำให้เกิดปฏิกิริยารุนแรง คือ การระเบิด ระเบิดแก๊สน้ำตาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ยิงและขว้างเข้าใส่ประชาชนเพื่อสลาย การชุมนุม จึงเป็นวัตถุระเบิดที่สามารถทำอันตรายแก่ร่างกายและชีวิตของประชาชน จนเป็นเหตุให้มีประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตดังกล่าว

ประเด็นสุดท้าย ผู้ใดจะต้องรับผิดชอบต่อการสลายฝูงชน จนเป็นเหตุให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต พิจารณาแล้ว จากการให้ถ้อยคำของเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ได้ให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการฯ เห็นว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม จนเป็นเหตุให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ บาดเจ็บสาหัส และมีประชาชนเสียชีวิต

“คณะอนุกรรมการเห็นว่า การใช้กำลังและอาวุธระเบิดแก๊สน้ำตาซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงระดมยิงและขว้างใส่ ประชาชนที่ปราศจากอาวุธร้ายแรงโดยตรง อีกทั้งเป็นการยิงและขว้างในระยะใกล้ จนเป็นเหตุให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น นับเป็นการปฏิบัติการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นการใช้ความรุนแรงต่อเพื่อนมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ ซึ่งต้องได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 และขัดต่อหลักการประพฤติปฏิบัติสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย Code of Conduct for Law Enforcement Officials (CCLEO, 1970) และขัดต่อหลักการที่ระบุไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน”

ผลสอบตอนท้าย ระบุว่า แม้ การแถลงนโยบายรัฐบาลเสร็จสิ้นแล้วก็ยังคงปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจระดมยิง และขว้างระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าใส่ประชาชนที่กำลังจะเดินทางเข้าไปช่วยประชาชน ที่ถูกล้อมอยู่ที่บริเวณรัฐสภา และประชาชนที่กำลังเดินทางกลับไปยังสะพานมัฆวานฯ จนเป็นเหตุให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก และเสียชีวิตด้วยที่บริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล ฉะนั้น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้สั่งการให้มีการสลายการชุมนุม และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบให้รับผิดชอบในการสลายการชุมนุมและสั่งการให้มีการสลายการ ชุมนุม รวมทั้งรัฐมนตรีที่อยู่ด้วยในการประชุมคณะรัฐมนตรี แต่มิได้คัดค้านการใช้กำลังและระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุม ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นในการสลายการชุมนุมในครั้งนี้

ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวัน ที่ 7 ตุลาคม ของวุฒิสภา วันนี้ (28 ตุลาคม) ได้นัดหมาย พล.อ.ชวลิต มาชี้แจง ซึ่งล่าสุด พล.อ.ชวลิต ยืนยันจะมาชี้แจงด้วยตนเอง
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

No comments: