Tuesday, November 4, 2008

Talk of the Town คลิป ชาย หน้าเหมือน

กลายเป็น Talk of the Town ไปทั้งบ้านทั้งเมืองเพียงชั่วข้ามคืน สำหรับ “คลิปไม่คาวแต่ฉาวโฉ่” ของบุรุษผู้มีใบหน้าละม้ายคล้าย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศไทย ภายหลังจากที่ “ผู้จัดการออนไลน์-ผู้จัดการรายวัน” ได้ลงข่าวอุบัติการณ์ของคลิปดังกล่าวที่ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วทั้งสังคม

พร้อม กันนี้ ยังมีการโพสต์คลิปดังกล่าวไว้ในเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Youtube ทำให้ช่องทางการเข้าถึงคลิปฉาวนี้ถูก “ถ่าง” ให้กว้างขึ้น เหล่าไซเบอร์บอย-ไซเบอร์เกิร์ล ทั้งหลายเกือบทุกรายไม่มีที่จะไม่แวะไปเปิดดูเปิดชม ทำให้พูดได้เต็มปากว่า ณ เวลานี้มีน้อยคนนักที่ยังไม่ได้เห็นหรือยังไม่ทราบเรื่องราวในคลิปดังกล่าว



ถึงตรงนี้ นอกจากประเด็นร้อนนี้จะถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันด้วยความกังขาในความเหมือน จนแทบชวนให้คิดได้ว่า “ชาย” อาจจะมี “น้องชายฝาแฝด” แล้ว ก็น่าจะเชื่อได้ว่า ยังคงจะมีคนไทยอีกจำนวนไม่น้อย ที่อยากจะรับทราบข้อมูลสถานที่ที่ปรากฏอยู่ในคลิปดังกล่าว ว่าเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน และมีสภาพเป็นอย่างไร

ม่านรูดเวสตอิน ชั่วคราวราคาเท่าไหร่ ค้างคืนแพงไหม สภาพเป็นอย่างไร?
คานาแมนชั่น รังนอนของ “กิ๊ก” ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หรูหราแค่ไหน?
ร้านปักษ์ใต้ ตั้งอยู่แห่งหนใดบรรยากาศ น่าทานอาหารแค่ไหน เหมาะสมจะพากิ๊กมานั่งทานกลางวัน หยอกล้อกระหนุงกระหนิงหรือไม่?
ร้านเก็จแก้ว อาหารอร่อยหรือไม่ ราคาแพงหรือเปล่า อยู่ไกลจากกระทรวงยุติธรรมมากไหม?

รวมไปถึงคำถามในใจที่ว่า หากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เคยมีคนละแวกนั้นๆ เคยได้พบเห็นเหตุการณ์ในคลิปวิดีโอดังกล่าวหรือไม่ คำถามเหล่านี้นี่เอง จึงเป็นที่มาของการ “ตามรอยเส้นทางสวาท” ของ “ชาย” หน้าคล้าย นายกฯ รายนี้

สำหรับรูปแบบการบันทึกเรื่องราวภายในคลิปขนาดยาวดังกล่าวนี้ มีลักษณะเป็นการตามแอบถ่ายพฤติกรรมของผู้ที่เป็นเป้าหมายการติดตาม การบันทึกภาพเป็นไปในลักษณะการขับรถตามและบันทึกภาพเป็นวีดีโอ พร้อมกับมีเสียงผู้ที่ถูกจ้างวานให้ติดตามพฤติกรรมของ “เป้าหมาย” ชายผู้เป็น “พระเอกของท้องเรื่อง” บรรยายเป็นข้อมูลเป็นระยะ

คลิปชายหน้าเหมือนนี้ถือว่าเป็นคลิปที่ค่อนข้างยาว กินเวลาทั้งสิ้น 25.26 นาที ออกจะยาวกว่าคลิปหลุดอื่นๆ ที่เคยปรากฏ อาจจะด้วยเพราะเป็นการบันทึกแอบถ่ายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 22 ถึงวันที่ 28 มีนาคม 2549 เป็นเหตุการณ์ที่มีตัวละครชายเพียงคนเดียว คือ บุรุษลึกลับที่หน้าเหมือนนายสมชาย แต่มีตัวละครหญิงให้เห็นจะจะถึง 3 ราย ส่วนอีกรายที่อยู่ในรถขณะขับเข้าม่านรูดนั้น ไม่ปรากฏชัดว่าเป็น 1 ใน 3 นั้น หรือจะเป็นตัวละครตัวใหม่

280 บาท กับคูหาสวรรค์ ของ “ชาย”
แต่ที่แน่ๆ คือ โรงแรมม่านรูด “เวสตอิน” ที่ ปรากฏอยู่ในคลิปนั้น เป็นม่านรูดในย่านถนนรัตนาธิเบศร์ ซึ่งขณะนี้ก็ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ โดยตั้งอยู่เลขที่ 222/1-2 หมู่ 4 ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี

จากสภาพด้านนอกของโรงแรมมีลักษณะเก่า ตัวอาคารไม่ทาสี เมื่อขับเข้าไปจะพบว่ามีทางขึ้น และเมื่อขับขึ้นไปจะพบกับสภาพที่เหมือนกับม่านรูดทั่วไป คือมีซองจอดรถที่มีม่านกั้นเป็นสัดส่วน บางห้องจะมีป้ายพลาสติกติดอยู่เหนือทางเข้าจอดว่า “VCD” เป็นที่เข้าใจได้ว่า ในห้องนั้นๆ จะมีบริการเสริมเป็นวีซีดีลับเฉพาะให้แขกชมด้วย ในขณะที่ตัวห้อง ซึ่งจะกลายร่างเป็น “คูหาสวรรค์” ชั่วคราวของเหล่าคู่รักนั้น จะต้องขึ้นบันไดจากที่จอดรถไปประมาณ 10 ขั้น นัยว่าอาจจะเพิ่มความเป็นส่วนตัวแก่ลูกค้ามากขึ้น

ส่วนภายในห้องของ “เวสตอิน” ไม่ผิดไปจากการคาดคะเนนัก ขนาดค่อนข้างเล็ก กะด้วยสายตาคร่าวๆ น่าจะไม่เกิน 4 x 5 เมตรเป็นอย่างมาก (รวมพื้นที่ส่วนห้องน้ำแล้ว) เตียงเป็นเตียงขนาดควีนไซส์ ฟูกแข็งราวกับเบาะยูโด ลองเอนหลังดูแล้วก็นึกน่าเป็นห่วงสุขภาพ “บั้นเด้า” ของบรรดาผู้ที่เข้ามาปฏิบัติกาม เอ๊ย! ปฏิบัติการทั้งหลายว่าอาจจะเกิดเคล็ดครากกันได้ หมอนสีเก่าตุ่นถูกห่อไว้ภายในปลอกหมอนสีขาวเรียบๆ แข็งพอๆ กับเตียง เก้าอี้นวมเล็กๆ สองตัวถูกวางคั่นด้วยโต๊ะเบียร์ ที่วางเมนูอาหารเอาไว้บริการ ซึ่งอาหารก็ค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งชุดอาหารเช้า เสต็ก สลัด และอาหารไทยอื่นๆ แต่ราคาสูงพอสมควร เช่น ปูอัดจานละ 100 บาท แกงจืดถ้วยใหญ่ถ้วยละ 180 บาท เป็นต้น

ปลายเตียงมีโทรทัศน์พานาโซนิครุ่นเก่าขนาด 16 นิ้ว หนึ่งเครื่อง ส่วนที่แปะป้ายไว้หน้าห้องว่า “VCD” นั้นเมื่อเปิดดูแล้วพบว่า ช่องหนึ่งของโทรทัศน์ถูกตั้งให้เป็นช่องที่ฉายภาพการเต้นของสาวๆ “ไคโยตี้” ในชุดกระโปรงยีนส์สั้นๆ เส้นสายเดี่ยว หรือรัดรูป มีการซูมบั้นท้ายและหน้าอกเป็นระยะตามจังหวะเพลง เพื่อปลุกอารมณ์แขกผู้ใช้บริการ

ถัดไปเป็นกระจกแต่งตัว ที่ด้านหน้ามีตะกร้าผ้าเช็ดตัวเนื้อหยาบกับสบู่แบนๆ ไร้สีไร้กลิ่น (และคาดว่าจะไร้ฟองเมื่อฟอก) ไว้บริการเผื่อแขกต้องการจะชำระ “คราบไคล” ภายหลังเสร็จสิ้นศึกสวาท

สำหรับโทนสีของห้องนั้น เน้นสีขาวเรียบๆ เป็นหลัก ตัดคิ้วด้วยไม้สีน้ำตาล และในส่วนของห้องนอนถูกปูด้วยพรมแดงที่มีรอยบุหรี่เป็นหย่อมๆ ส่วนภายในห้องน้ำเป็นสีเทา สุขภัณฑ์ทุกชิ้น ทั้งอ่างอาบน้ำ โถชักโครก อ่างล้างหน้า ล้วนเป็นเซ็ตสีเดียวกัน จะโดดเด่นก็แต่เพียง “ขันน้ำพลาสติกสีชมพู” ที่ทำเอางงไปเหมือนกันว่ามีไว้ทำอะไรในห้องน้ำแบบฝักบัวเช่นนี้

ที่แย่และไร้สุขอนามัยอย่างสิ้นเชิง ก็คือ “ถังขยะ” ใบเดียวภายในห้อง มีสภาพเปล่าเปลือย ไร้ซึ่งถุงขยะมากรุรองไว้ มองแล้วไพล่นึกไปถึงภาพ “เสื้อกันฝนใช้แล้วเหนียวเหนอะ” ที่ถูกโยนแปะลงมาแบบไม่มีอะไรรองรับให้ถูกหลักอนามัย แล้วพลันทำให้ผู้เขียนปั่นป่วนในท้องสิ้นดี


จากปากคำบันทึกของหญิงสาวผู้สะกดรอยตามบุรุษหน้าคล้ายกล่าวไว้ขณะ ติดตามรถของ “เป้าหมาย” เข้าไปยังโรงแรมม่านรูดแห่งนี้ ระบุว่า “เป้าหมายรับหญิงสาวจากหมู่บ้านซื่อตรง” ทำให้มีการสำรวจบริเวณใกล้เคียงในรัศมีรอบๆ โรงแรมม่านรูดเวสตอิน พบว่า มีหมู่บ้านซื่อตรงที่อยู่ห่างจากโรงแรมราวๆ 7-8 กิโลเมตรอยู่ด้วย แต่ไม่แน่ชัดว่าเป็นแห่งเดียวกับที่ “คู่ขา” ของชายหน้าคล้ายอาศัยอยู่หรือเปล่า

เกือบลืมบอกไปว่า ราคาค่าใช้บริการของเวสตอินนั้น มีรายละเอียดดังนี้ คือ ชั่วคราว 3 ชั่วโมง 280 บาท ต่อชั่วโมง 90 บาทต่อชั่วโมง ค้างคืนเต็มวัน 570 บาท ค้างคืน (เข้าหลัง 21.00น.) 480 บาท ท่านทั้งหลายโปรดพิจารณาเอาเองเถิดว่า หากเป็นท่านมีฐานะขนาดขับบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์ 730iL จะตัดสินใจเลี้ยวรถเข้ามาใช้บริการ “ชั่วคราว” ของโรงแรมแห่งนี้หรือไม่?

“คานาแมนชั่น” รังนอน “กิ๊กของชาย”

กระจ่างกันไปสำหรับม่านรูดเวสตอินในคลิปดัง ทีนี้ลองกลับมาดูแถวฝั่งธนกันบ้าง ที่ซอยเพชรเกษม 7/2 อันปรากฏอยู่ในคลิป ที่มีหญิงสาวอายุราวยี่สิบต้นๆ หน้าตาดี ผิวสองสี รูปร่างสูงเพรียว สวมชุดสีขาว มายืนรอให้เก๋งคันงามมาจอดรับไปรับประทานอาหารกับหนุ่มใหญ่สวมแว่นกันกระหนุ งกระหนิง ก่อนจะแวะมาส่งที่ปากซอยนี้อีกครั้ง ซึ่งเธอก็ได้ยืนซื้อผลไม้หน้าซอยนี้ ส่งผลให้ “สายลับ” ผู้บันทึกภาพ มีโอกาสซูมใบหน้าสาวน้อยคนนี้ได้อย่างชัดเจน
ซึ่งหลังจากการตรวจสอบซอยดังกล่าวนั้น ปรากฏว่าเป็นซอยตื้นๆ ด้านหน้าสุดเป็นที่พักที่ชื่อว่า “คานาแมนชั่น” และลึกเข้าไปด้านในเป็นบ้านพักอาศัยเป็นกลุ่มๆ ส่วนสถานที่ให้เช่าที่พักประเภทหอพัก อพาร์ตเมนต์ แมนชั่น ภายในซอยนี้มีเจ้าเดียว คือ “คานาแมนชั่น” ที่อยู่ต้นซอยนั่นเอง ซึ่งก็สอดคล้องกับภาพในคลิปฉาว ที่มีการบันทึกเสียงว่าที่แห่งนี้คือที่พักของ “เป้าหมาย”

สำหรับคานาแมนชั่นนี้มีทั้งหมด 8 ชั้น อัตราค่าที่พักถือว่าไม่ถูกนัก ห้องราคาต่ำที่สุด เป็นห้องพัดลมที่มีขนาดแคบที่สุดคือ 20 ตารางเมตร ราคา 3,200 บาทต่อเดือน ซึ่งห้องขนาดเดียวกันแต่ติดเครื่องปรับอากาศ ราคาจะเพิ่มเป็น 3,600 บาท ห้องพัดลมที่กว้างขึ้นมาอีกนิด คือ 22-30 ตารางเมตร ราคาตั้งแต่ 3,200-3,800 บาท ในขณะที่ราคาห้องปรับอากาศขนาดความกว้าง 22-24 ตารางเมตร อยู่ที่ 4,000-4,700 บาท ส่วนห้องขนาดเดียวกัน แต่มีเครื่องปรับอากาศขนาด 30 ตารางเมตร ราคาจะพุ่งไปอยู่ที่ 5,000 บาท/เดือนเลยทีเดียว

โดยราคาเหล่านี้ หากเป็นที่พักในใจกลางเมืองก็ถือว่าย่อมเยา แต่คานาแมนชั่นถือว่าเป็นเขตรอบนอก คือ อยู่ฝั่งธนบุรี ดังนั้น ราคาดังกล่าวถือว่าไม่ถูกนัก แต่สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีในแมนชั่น ไม่ว่าจะเป็นร้านเสริมสวย มินิมาร์ท ตู้ซักผ้าหยอดเหรียญ หรือบริการซักอบรีด รวมไปถึงระบบการรักษาความปลอดภัยที่ค่อนข้างดีที่แม้จะไม่มีวงจรปิด แต่ก็มี รปภ.24 ชั่วโมง และขึ้นห้องพักแบบต้องใช้คีย์การ์ดผ่านประตู ก็ถือว่าคุ้มค่า แต่ก็เป็นปัจจัยที่เจ้าหน้าที่ของที่พักดังกล่าวให้ข้อมูลว่า

“ส่วนใหญ่ผู้เช่ามักจะเป็นคนวัยทำงานมากกว่าที่จะเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา หรือวัยรุ่น ที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตนเอง”

บุตร สาว 2 คน ของ สมชาย-เยาวภา เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามในบริษัทอินนิค คอร์ปอเรชั่น เจ้าของรถเบนซ์สปอร์ตสีแดง ทั้งนี้ “น้องเชอรี่” ชยาภา (คนกลางในกรอบสี่เหลี่ยม) ยังเคยออกเทปชุดแรกในชื่อ “เชอรี่ ซีเครต ซี” กับบริษัทดังกล่าวด้วย
“ปักษ์ใต้” กับรอยเงาของ “ชู้รัก”

ส่วนร้านอาหารปักษ์ใต้ที่หนุ่มใหญ่ใส่แว่นพาสาวน้อยชุดขาวไปกินนั้น อยู่ในซอยธนาคาร บนถนนราชพฤกษ์ ใกล้กับซอย ราชพฤกษ์ 11 แต่ปัจจุบันร้านอาหารดังกล่าวปิดตัวไปแล้ว และมีเนิร์สเซอรีรับดูแลเด็กและคนชรามาตั้งแทนที่ และระหว่างการแวะไปสำรวจนั้น ก็พบบรรดาลุงๆ ป้าๆ ในละแวกใกล้เคียงเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น เราไม่รีรอที่จะเข้าไปหา พร้อมเริ่มยิงคำถามใส่คุณป้าก่อน

“ป้าครับ ร้านปักษ์ใต้ย้ายไปแล้วเหรอครับ”
“ย้ายแล้วจ้ะ ทำไมล่ะ หนูเคยมากินเหรอ”
“ครับ แล้วย้ายไปนานหรือยังอ่ะครับ”
แค่คำถามที่สองเท่านั้น คุณสีหน้าคุณป้าก็เริ่มเปลี่ยนไป พร้อมถามกลับมาว่า
“ไม่นานหรอก แล้วตะกี้เห็นหนูไปวนรถอยู่ 2 รอบ แล้วใช่มั้ย”

จากบทสนทนาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า คงจะมีหลายคนมาถามไถ่ ถึงเรื่องร้านอาหารปักษ์ใต้ร้านนี้ที่ไปปรากฏอยู่ในคลิป ป้าแกถึงได้ระวังตัว แถมสังเกตคนแปลกหน้าที่ผ่านเข้าออกไปมาอยู่ตลอดเวลา แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีคุณลุงคนหนึ่ง ถามกลับมาว่า

“มาหาร้านอาหารปักษ์ใต้เรอะไอ้หนุ่ม”
“ครับคุณลุง ไม่ทราบย้ายไปไหนแล้วครับ”
“โอ๊ย ไม่อยู่แล้ว เข้าเปิดสองร้าน แต่ร้านนี้ไม่ค่อยมีคนดูแล เลยกลับไปขายร้านเดียวเหมือนเดิม ถ้าอยากเห็นเอ็งต้องไปดูในคลิปนั้นสิ ได้ดูรึยังล่ะน่ะ”
“แล้วคุณลุงเคยเห็นไหมครับ คนๆ นั้นน่ะ”
“เค๊ย เคยเห็นสิ ก็มากับผู้หญิงนั่นล่ะ ในคลิปน่ะ ... ตัวจริง ถ้าเอ็งมาเมื่อสองปีที่แล้ว อาจจะเจอก็ได้”

เบนซ์สปอร์ตสีแดง กับ ความลับของตัว C

แม้ว่าร้านปักษ์ใต้จะปิดตัวไปแล้ว ทว่า ร่องรอยของรถเบนซ์สปอร์ตสองประตู สีแดงเข้ม เลขทะเบียน ศฐ 1119 กรุงเทพมหานคร ที่ข้าราชการหนุ่มใหญ่ใช้แวะรับหญิงสาวชุดขาวที่หน้าปากซอยเพชรเกษม 7/2 เพื่อโดยสารกันมาร่วมรับประทานอาหาร ก็ยังสามารถที่จะบ่งชี้ได้ว่า บุคคลที่มาเป็นใคร

ข้อมูลจากผู้หวังดีที่ สืบค้นจากฐานข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม ระบุข้อมูลเกี่ยวกับรถเบนซ์สปอร์ตสองประตู สีแดงเข้ม เลขทะเบียน ศฐ 1119 กรุงเทพมหานคร ไว้ดังนี้คือ เป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (ร.ย.01) ลักษณะเป็นเก๋งตอนเดียว สีแดง ยี่ห้อ BENZ เลขตัวรถ WDB2304742F085893 เลขเครื่องยนต์ 11399260030015 สำหรับผู้ที่ถือกรรมสิทธิ์และครอบครอง รถคันดังกล่าวคือ บริษัท อินนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ตั้งอยู่ที่ 99/385 หมู่ 2 ถนนแจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210 โดยจดทะเบียนเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2548 เริ่มครอบครองเมื่อวันที่ 29 ส.ค.2551 และสิ้นอายุภาษีในวันที่ 1 ก.พ.2552

ส่วนข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุข้อมูลของบริษัท อินนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด ไว้ดังนี้ คือ กรรมการบริษัทมี 3 คน คือ นายชาคริต เฉลิมวัฒน์ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ และ น.ส.ชยาภา วงศ์สวัสดิ์ มีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาทถ้วน ตั้งอยู่ที่ 99/385 หมู่ 2 ถนนแจ้งวัฒนะ ทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจการคือ ผลผลิตจากเพลง บริการผลิตเพลง สื่อโทรทัศน์ วิทยุ โฆษณา เป็นต้น

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ายังบ่องชี้อีกว่า บริษัทอินนิค คอร์ปอเรชั่น เดิมทีจดทะเบียนครั้งแรกในชื่อบริษัท เอส.วาย.เทเลคอม จำกัด โดยต่อมาได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่ออีกหลายครั้ง คือ ครั้งที่ 2 เปลี่ยนเป็นบริษัท ที.โอเวอร์ซี จำกัด เมื่อวันที่ 12 พ.ย.2542 ครั้งที่ 3 เปลี่ยนเป็น บริษัท มิวสิคฟันนี่ (2002) จำกัด เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2543 ครั้งที่ 4 เปลี่ยนเป็นบริษัท สตรองพอยท์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2543 และ ครั้งสุดท้ายเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท อินนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อวันที่ 3 พ.ย.2547

สำหรับคนที่คลุกคลีกับวงการบันเทิง ชื่อ “อินนิค คอร์ปอเรชั่น” อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนัก ทว่าชื่อ “สตรองพอยต์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์” นั้น เชื่อแน่ว่า คงมีหลายคนเคยผ่านหูมาก่อน เพราะ อัลบั้มแรกของ “เชอรี่” ชยาภา วงศ์สวัสดิ์ ลูกสาวคนสุดท้อง สุดที่รักของครอบครัววงศ์สวัสดิ์ ที่ใช้ชื่อว่า “เชอรี่ ซีเครท ซี (Secret ‘C’)” ก็ ใช้ทุนของบริษัท สตรองพอยต์ เอนเตอร์เทนเมนต์แห่งนี้นี่เองเพื่อผลิตเทปกว่า 20,000 ม้วน ประเคนให้กับน้องเชอรี่ ตั้งแต่สมัยยังเธอยังเรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย ที่โรงเรียนสตรีวิทยา โดยอาศัยเส้นสายของครอบครัวในการตระเวนออกคอนเสิร์ตร่วมกับศิลปินจากค่ายแก รมมี่

“เก็จแก้ว” กับสาวรสแซบของ “ชาย”

ปิดท้ายทริปสวาทสะท้านเมืองด้วยร้านอาหารที่ “ชายหน้าเหมือน” พา “หญิงร่างท้วม” จากกระทรวงยุติธรรม ไปนั่งฟาดข้าวเที่ยงกันอย่างชื่นมื่นอย่างร้าน “เก็จแก้ว” ภายในเมืองทองธานี ข้างมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช

หะแรกเห็นในคลิปก็ดูเป็นร้านอาหารธรรมดา แต่เอาเข้าจริงถือว่าหรูหราไม่ใช่เล่น สามารถเรียกเต็มปากได้ว่า “ภัตตาคาร” ได้เลยทีเดียว ร้านกว้างขวาง ติดแอร์เย็นฉ่ำ มีห้องอาหารรวมและมีห้องแยกเพื่อจัดเลี้ยงโดยเฉพาะต่างหาก และในช่วงเที่ยงๆ แบบนี้ส่วนใหญ่ลูกค้าจะมากันเป็นกลุ่ม ลักษณะเหมือนเพื่อนร่วมงานมารับประทานอาหารร่วมกันไม่มีโต๊ะไหนที่มาเป็นคู่ ดูโอ้อย่างหนุ่มใหญ่และสาวใหญ่ในคลิป

อาหารที่ร้านเก็จแก้วเป็นอาหารไทย มีทั้งอาหารไทยภาคกลางทั่วไปและอาหารปักษ์ใต้ โดยเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ที่สื่อหลายแห่งจากสายข่าวประเภท “พาชิม” ได้เขียนถึงนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารจากแดนด้ามขวาน ไม่ว่าจะเป็น “สะตอผัดกุ้ง” (120 บาท) หรือ “แกงเหลืองปลากะพง” (180 บาท)

สำหรับรสชาติของจานเด็ดราคาขยี้ใจคนจนทั้งสองจานนี้ ต้องบอกว่า “หรอยจังฮู้” ของเขาดีจริง แต่สำหรับคนภาคกลางลิ้นบางๆ ต้องอุทานกันดังๆ หลังจากโซ้ยช้อนแรกว่า “เผ็ดอิ๊บอ๋าย” ดังนั้น ผู้ที่จะกินจานเด็ดของร้านนี้ได้ ต้องเป็นพวกชอบกินเผ็ด หรือไม่ก็บรรดา “ไอ้หนุ่มแดนสะตอ” ทั้งหลายนั่นละ จึงจะกินได้อร่อยลิ้น แต่กลเม็ดเคล็ดลับที่ว่าด้วยการ “เบียดบังเวลาราชการมากินแล้วต่อด้วยการชอปปิ้งตู้เย็น” จะทำให้การลิ้มรสชาติอาหารของร้านนี้ดีขึ้นหรือเปล่านั้น อันนี้ต้องไปถามคนในคลิปกันเอาเอง

สุดท้ายก่อนกลับ เราไม่ลืมที่จะถามคำถามที่เชื่อว่าพนักงานของร้านนี้ต้องโดนถามมาแล้วแน่นอน

“น้อง ดูคลิปนั้นรึยัง”
พนักงานคนนั้นพยักหน้า ก่อนตอบมาด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า “ดูแล้วค่ะ”
“แล้วใช่เขามั้ย มาบ่อยหรือเปล่าล่ะ”
“ใช่ค่ะ เมื่อก่อนมาบ่อย แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว แต่ส่วนใหญ่เขามากับลูกน้องเขานะคะ ไม่ได้มาอะไรแบบนั้น”
พนักงานคนดังกล่าวตอบ พร้อมกับเดินหน้าแหยๆ กลับไป ราวกับว่าถูกกำชับมาว่าไม่ให้พูดอะไรเกี่ยวกับคลิปนั้นมาก

ความเงียบงันของสังคมไทยต่อ “คลิปชายหน้าเหมือนนายกฯ” ไม่เพียงแต่เกิดกับพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารเก็จแก้วเท่านั้น นับตั้งแต่วันที่คลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านทางอินเทอร์เน็ตจนถึงวันนี้ก็ เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่ดูเหมือนว่า สื่อมวลชนไทย ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ รวมไปถึง ส.ว.หญิง คนดัง ที่เคย “ปากกล้า-ปากเก่ง” มาตลอด กลับนิ่งเงียบ และ ปฏิเสธที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงของ “คนหน้าเหมือนนายกฯ”

ในสังคมใด เมื่อสื่อเลือกที่จะนิ่งเงียบต่อความไม่ถูกต้อง คุณธรรม จริยธรรม และความยุติธรรมย่อมต้องหลีกเร้นจากสังคมนั้น!
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์


No comments: